20 พ.ค. เวลา 00:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทยร่อแร่รัฐบาลอย่าแค่ยืนดู | บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ลงเหลือเพียง 1.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.8% ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งสำคัญ แม้ไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 3.1% แต่สัญญาณจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่หวนคืนสู่การเมือง ได้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
1
สถานการณ์นี้ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป รัฐบาลและทีมเศรษฐกิจ จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์และมาตรการเชิงรุกอย่างเร่งด่วน การนิ่งเฉยหรือเดินเกมเศรษฐกิจแบบ “รอดูสถานการณ์” เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายรับโดยไม่มีทางต่อรอง ท้ายที่สุดอาจสูญเสียความสามารถแข่งขันในเวทีโลก
3
นโยบายภาษีที่แข็งกร้าวของสหรัฐมีแนวโน้มกระทบต่อการส่งออกไทย ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักเศรษฐกิจ หากไม่มีการเจรจาอย่างเป็นระบบ หรือมีเสียงจากไทยในเวทีระหว่างประเทศ ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้เสียเปรียบทางการค้ารายสำคัญ การทูตเศรษฐกิจต้องได้รับการยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ นักการทูต และภาคเอกชน
3
ขณะเดียวกัน ภายในประเทศต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการที่ชัดเจน มีเป้าหมาย ไม่ซ้ำรอยความล้มเหลวเดิม ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ดิจิทัล เฮลท์เทค หรือพลังงานสะอาด ไปจนถึงการปรับระบบภาษีและแรงจูงใจเพื่อนักลงทุนต่างชาติอย่างมีแบบแผนและทันสมัย หากยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนและเฉียบขาด นักลงทุนจะหมดศรัทธาและเบนความสนใจไปยังประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ซึ่งต่างก็มีนโยบายเชิงรุกและกล้าตัดสินใจมากกว่า
1
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปอย่างไร้ทิศทาง การปรับลดประมาณการจีดีพีลงเหลือ 1.8% ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่มันสะท้อนถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการตอบสนองของภาครัฐอย่างชัดเจน ประเทศไทยจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่ามีความพร้อมและความเด็ดขาดในการฟื้นความเชื่อมั่นทั้งจากภาคประชาชนและนักลงทุน บทบาทของรัฐบาลขณะนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ “บริหารตามหน้าที่” แต่ต้อง “นำพา” ประเทศให้หลุดพ้นจากแรงเสียดทานทั้งภายในและภายนอก
1
โดยเฉพาะการเจรจาทางเศรษฐกิจกับประเทศมหาอำนาจ และการออกมาตรการภายในที่เป็นรูปธรรม รัฐบาลไทยจึงไม่ควรรอให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงก่อนแล้วจึงเริ่มขยับ หากไม่ลงมือในวันนี้ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป...
1
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจEconomic #บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ
โฆษณา