16 ม.ค. 2018 เวลา 00:50 • ธุรกิจ
ใครคือผู้ก่อตั้ง YouTube / โดย ลงทุนแมน
หนึ่งในเว็บไซต์ที่มีคนเข้ามากที่สุดในโลก
มีคนดูเป็นพันล้านชั่วโมงในแต่ละวัน
มีที่มาอย่างไร เปลี่ยนแปลงโลกไปแค่ไหน
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
YouTube เปิดตัวขึ้นมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2005 หรือเมื่อเกือบ 13 ปีที่แล้ว โดยมีผู้ก่อตั้ง 3 คน คือ Chad Hurley (อดีต CEO ของ YouTube), Steve Chen, และ Jawed Karim
ซึ่งวิดีโอแรกที่เปิดตัวบนเว็บไซต์ คือ Me at the zoo ของ Jawed Karim นั่นเอง
ทั้ง 3 คนเคยทำงานอยู่กับ PayPal บริษัทผู้ให้บริการจ่ายเงินบนอินเตอร์เน็ตที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ก่อนที่จะออกมาช่วยกันสร้าง YouTube ขึ้นมา และถือเป็นสมาชิกของกลุ่ม PayPal Mafia (อ่านเรื่อง PayPal Mafia ได้ที่ http://longtunman.com/2959)
ที่มาของ YouTube ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะ 2 ใน 3 ของผู้ก่อตั้ง เดิมทีอยากจะสร้าง YouTube ให้เป็นเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ในรูปแบบที่เป็นวิดีโอ ส่วนอีกคนนั้น.. อยากจะดูคลิปหลุด หน้าอกของ Janet Jackson ระหว่างที่แสดงอยู่ในการแข่ง Super Bowl แต่ดันหาไม่เจอ
ย้อนกลับไปปี 2006 คงมีแค่ไม่กี่คนที่คิดว่า เว็บไซต์ที่เป็นเพียงพื้นที่ให้คนทั่วไปเอาวิดีโอของตัวเองมาลงให้คนอื่นดู จะกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตได้
แต่ Google เป็นหนึ่งในคนที่เห็น..
เพราะหลังจาก YouTube เพิ่งจะเปิดให้บริการมาได้เพียงแค่ 1 ปี บริษัทอย่าง Google ก็มาซื้อธุรกิจไปในราคา 1,650 ล้านเหรียญ หรือราว 54,450 ล้านบาท
ใครจะไปคิดว่าภายใน 1 ปีจะมีวิธีการทำเงินได้มากขนาดนี้
ซึ่ง YouTube ก็น่าจะเข้ากับระบบของ Google ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถนำโปรแกรม Google Adsense ของบริษัทแม่ มาใช้บนวิดีโอเพื่อสร้างรายได้จากค่าโฆษณา
ปัจจุบัน YouTube มีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั้งหมดบนโลก และมีคนดูวิดีโอเฉลี่ยหลักพันล้านชั่วโมงต่อวัน
YouTube เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเป็นรองเพียงแค่ Google
ยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงสมาร์ทโฟน ยิ่งทำให้ YouTube กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนหลายคนไปแล้ว
รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ยอดวิวของวิดีโอมากกว่าครึ่งนึงของทั้งหมด มาจากการดูบนโทรศัพท์มือถือ..
YouTube มีสถิติที่น่าสนใจ คือ ถ้าเรายังพอจำกันได้ Gangnam Style ของ Psy มียอดวิวครบ 1,000 ล้าน เป็นวิดีโอแรกบนเว็บไซต์ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2012 โดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือนตั้งแต่ที่ลงวิดีโอ
เท่ากับว่า YouTube ใช้เวลา 7 ปี ถึงจะมีวิดีโอแรกที่มียอดวิวในหลักพันล้าน
นับจากวันนั้นผ่านมาแล้วเกือบ 6 ปี มีจำนวนวิดีโอที่มียอดวิวเกิน 1,000 ล้าน มากถึง 90 วิดีโอ และวิดีโอที่มียอดวิวครบพันล้านได้เร็วที่สุด ใช้เวลาเพียงแค่ 87 วัน ได้แก่ เพลง Hello ของ Adele
ส่วนเจ้าของสถิติยอดวิวสูงที่สุดในปัจจุบัน (ณ วันที่เขียน) เป็นของเพลง Despacito ของ Luis Fonsi และ Daddy Yankee ที่ 4,661 ล้านวิว ใช้เวลา 96 วันในการขึ้นหลักพันล้านแรก และเป็นวิดีโอแรกที่มียอดวิวครบ 3,000 ล้าน
สำหรับ 5 อันดับชาแนลที่มียอดวิวสูงสุดของไทย คือ
อันดับ 1 แกรมมี่ (GMM GRAMMY OFFICIAL)
ผู้ติดตาม 10.78 ล้านคน 5,519 คลิป ยอดวิวรวม 11,475 ล้านวิว
อันดับ 2 เวิร์คพอยท์ (WorkpointOfficial)
ผู้ติดตาม 11.58 ล้านคน 17,148 คลิป ยอดวิวรวม 9,536 ล้านวิว
อันดับ 3 ช่อง 3 (Ch3Thailand)
ผู้ติดตาม 5.53 ล้านคน 36,843 คลิป ยอดวิวรวม 7,634 ล้านวิว
อันดับ 4 Genie records (Genierock)
ผู้ติดตาม 7.92 ล้านคน 756 คลิป ยอดวิวรวม 6,792 ล้านวิว
อันดับ 5 อาร์สยาม (RsiamMusic)
ผู้ติดตาม 8.34 ล้านคน 1,558 คลิป ยอดวิวรวม 6,067 ล้านวิว
YouTube เปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปอย่างไร?
การเข้ามาของ YouTube ทำให้เราทุกคนมีทางเลือกมากขึ้น
สำหรับคนดูทีวีอย่างเรา ถ้าเป็นเมื่อก่อน รายการของทุกช่องแทบจะเหมือนกับการถ่ายทอดสด.. เพราะถ้าเราพลาดดูไม่ทัน ก็คงต้องให้คนอื่นมาเล่าให้ฟัง หรือคงต้องรอกันอีกนานกว่าช่องจะนำมารีรันให้ดูกันอีกรอบ
แต่เดี๋ยวนี้เราไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ว่าง เพื่อมานั่งหน้าจอทีวีรอดูรายการที่ตัวเองชอบในเวลาที่ถูกกำหนด เพราะเราสามารถที่จะดูรายการส่วนใหญ่ เมื่อไรก็ได้ กี่รอบก็ได้ หรือจะแสดงความคิดเห็นของเราก็ได้ บน YouTube
ฝั่งผู้ผลิต content เอง ก็ได้ประโยชน์จาก YouTube ไม่น้อยไปกว่าผู้บริโภค โดยเฉพาะกับรายย่อยและคนธรรมดาทั่วไป
ในยุคที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทีวี
ต่อให้เรามีไอเดียที่อยากจะให้คนได้ดูแค่ไหน แต่คงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ดีๆจะเดินเข้าไปหาสถานีโทรทัศน์ แล้วบอกให้นำ content เราไปออกอากาศในช่วงเวลาที่มีคนดูเยอะ
แต่เดี๋ยวนี้
ขอแค่มีกล้องและอินเตอร์เน็ต ก็เพียงพอที่จะนำเสนอไอเดียหรือผลงานของตัวเองให้กับคนทั้งโลกดูได้ไม่ยาก
ซึ่งเราก็ได้เห็นตัวอย่างกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ PewDiePie, หนูน้อย Ryan, หรือลำไย ไหทองคำ ที่ลงทุนแมนเคยเขียนเรื่องพวกเขาเหล่านี้
เมื่อมีคนดูบน YouTube มากขึ้น ก็มีคนอยากทำ content มาลงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมี content ที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกลับไปดึงดูดให้คนมาดูบน YouTube เกิดเป็นวงจรที่ไม่รู้จบขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ YouTube จะยังครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก เพาะบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นๆ ก็เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งเสมอ
แม้แต่ Facebook เอง ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เน้นด้านแพลตฟอร์มวิดีโอ ก็ได้วางแผนบุกตลาดเต็มตัวแล้วเหมือนกัน
คงไม่มีใครตอบได้ว่า อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร YouTube ยังจะเป็นเบอร์ 1 ได้อยู่หรือไม่
แต่ที่รู้ตอนนี้คือ YouTube ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของทุกคนบนโลกไปเรียบร้อยแล้ว..
ลงทุนแมนมี "แอพ" แล้ว โหลดฟรีที่ longtunman.com/app
ทั้ง iOS และ android
ถ้าใครอยากติดตามลงทุนแมนทุกเรื่อง ต่อไปในแอพจะมีเรื่องที่ไม่ได้เขียนในเฟซบุ๊ค อยากให้โหลดแอพติดเครื่องไว้
โฆษณา