25 ม.ค. 2019 เวลา 12:21 • ธุรกิจ
3 ธุรกิจดาวรุ่ง/ดาวร่วงจากวิกฤตฝุ่นละออง PM2.5
บทความนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากบทความของลงทุนแมนเรื่อง “PM2.5 กำลังเริ่มกระทบเศรษฐกิจ”
และนำมาขยายประเด็นต่อครับ
ก่อนหน้านี้เรามักได้ยินคำว่า “Disruption” ในบริบทของการถูกแทรกแซงการดำเนินธุรกิจที่เกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี หรือ “Digital Disruption”
แต่หลังจากที่เกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ขึ้นมาในประเทศไทย ถ้าวิกฤตนี้เกิดอยู่นานเป็นปี เราอาจจะมี “คำศัพท์ใหม่” ที่ใช้เรียก Disruption ประเภทนี้ว่าเป็น “Environmental/Climate Change Disruption” หรือ “การถูกแทรกแซงการดำเนินธุรกิจที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป” นั่นเองครับ
ในทุกๆเหตุการณ์ Disruption ที่เกิดขึ้นมานั้น มักจะมีธุรกิจ “ดาวรุ่ง” และธุรกิจ “ดาวร่วง” เสมอ
สำหรับวิกฤตฝุ่นในประเทศไทย ผมขอพูดถึง 3 ธุรกิจดาวรุ่งก่อนครับ
1. ธุรกิจทีวีสตรีมมิ่ง
แคมเปญ “ไม่ไปไหนไป Netflix” ของ Netflix (ที่เป็นธุรกิจทีวีสตรีมมิ่งเจ้าดังในไทย) ที่ออกมาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมามีเจตนาสื่อว่าถ้าปีใหม่ไม่มีแผนไปเที่ยวที่ไหน ก็กลับไปดู Netflix ที่บ้านแทนละกัน
พอมีวิกฤตฝุ่นเข้ามา คนเลยอยากอยู่บ้านดูซีรีส์กันมากขึ้น ผมคิดว่าแคมเปญนี้ยังสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปีนี้จะมีคนไทยสมัครใช้งาน Netflix กันเยอะขึ้นครับ
2. ธุรกิจหน้ากากกันฝุ่น PM2.5
เท่าที่ผมสังเกต จะมีทั้งหน้ากากกันฝุ่นชนิดที่ให้คนสวมใส่ (ทั้งแบบปกติ และแบบที่ใช้สำหรับเล่นกีฬากลางแจ้ง) และให้สัตว์เลี้ยงใช้ (สำหรับน้องหมา)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ออกไปเดินออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำทุกวัน แต่พอมีวิกฤตฝุ่นเข้ามา ผมเลยงดออกกำลังกายกลางแจ้งทันที
เรื่องนี้ส่งผลให้หน้ากากกันฝุ่นแบบที่ใช้สำหรับสวมใส่เวลาเล่นกีฬากลางแจ้งขายดีขึ้น จนขาดตลาด
นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยแบบธรรมดาที่ไม่สามารถใช้กันฝุ่นPM2.5ได้ (แต่คนนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับทิชชู่2ชั้น) ยังได้อานิสงค์ไปด้วยจนขาดตลาดมาเป็นอาทิตย์แล้ว
สำหรับทาสน้องหมาที่ใส่ใจกับสุขภาพของน้องหมาก็คงต้องซื้อหน้ากากกันฝุ่นไปให้น้องหมาใช้กันมากขึ้นครับ
3. ธุรกิจเครื่องฟอกอากาศ
ผมมีเพื่อนที่เป็นโรคภูมิแพ้และโรคทางเดินหายใจจนต้องตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ เพื่อมาช่วยกรองอากาศภายในบ้าน
ส่วนช่วงราคาของเครื่องฟอกอากาศที่ผมเห็นในห้างมีตั้งแต่ราคา8พันบาทถึง2หมื่นกว่าบาทเลยทีเดียว และมีบางยี่ห้อขายดีจนขาดตลาดไปแล้ว
นอกจากนี้ เท่าที่ผมเห็น ยังมีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ขายอีกด้วย เนื่องจาก “กรองอากาศ” ในรถยนต์ไม่สามารถกรองฝุ่น PM2.5ได้ เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องขับรถอยู่บนท้องถนนตลอดเวลา เช่น แท็กซี่ หรือเซลส์แมน เป็นต้น
คาดว่าปีนี้ยอดขายเครื่องฟอกอากาศในประเทศไทยคงสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ครับ
ปิดท้ายด้วย 3 ธุรกิจดาวร่วงครับ
1. ธุรกิจร้านอาหารกลางแจ้ง
หลังจากเกิดวิกฤตฝุ่นมาหนึ่งเดือน ผมเป็นคนนึงที่เลิกออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารกลางแจ้ง (ที่ไม่ติดแอร์) ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมไปอุดหนุนเป็นประจำ
ถ้าวิกฤตฝุ่นนี้เกิดอยู่นานเป็นปีอาจทำให้ธุรกิจนี้ย่ำแย่ ศัพท์ที่ใช้ในวงการหุ้นจะเรียกว่า “พื้นฐานเปลี่ยน” เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน
แปลงไปอย่างชัดเจน
2. ธุรกิจท่องเที่ยว
ส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยจะเป็นแบบ “Open Air” เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำดูปะการัง หรือแม้แต่การไปสักการะที่วัดพระแก้ว หรือเดินเล่นที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยมก็ตาม
แต่พอเกิดวิกฤตฝุ่น ผมไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีความกังวลเรื่องฝุ่น PM2.5 นี้มากน้อยแค่ไหน ถ้าต่างชาติกังวลมากและสื่อประโคมข่าวไปทั่วโลก ปีนี้ประเทศไทยอาจจะ “งานเข้า” ก็ได้ครับ เพราะรายได้หลักส่วนนึงของไทยมาจากการท่องเที่ยวด้วย
3. ตุ๊ก ตุ๊ก
หลังจากมีวิกฤตฝุ่น ผมเลิกนั่งตุ๊กๆถาวร เพราะต้องเสี่ยงสูดฝุ่นและควันพิษไปเต็มๆ เลยต้องเปลี่ยนไปนั่งแท็กซี่แทน
ก่อนจะจากกันไป ผมภาวนาให้วิกฤตฝุ่นในครั้งนี้อยู่กับเราไม่นาน และอย่าลืมดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักด้วยนะครับ
สุดท้ายนี้ อย่าลืมกด “Follow” กด “Like” หรือกด “Share” เพจนี้เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบทความดีๆ ต่อไปด้วยครับ
ติดตาม​ Netflix Addict จากช่องทางอื่นและแวะมาพูดคุยกันได้ที่​ Facebook: https://www.facebook.com/netflixaddict1
โฆษณา