3 พ.ค. 2019 เวลา 02:30 • สุขภาพ
บางทีมนุษย์ก็อาจต้องการจากโลกนี้ไปอย่างสบายๆ...เพียงการดีดนิ้ว...
เมื่อพูดถึงวันสุดท้ายของชีวิตของเรา หลายๆคนฝันถึงการจากโลกนี้ไปอย่างสงบสบาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลายๆคนกลับไม่ได้พบเจอสิ่งนั้น
ทำไมผมถึงพูดแบบนี้ ผมไม่ได้หมายถึงทุกๆคน แต่แค่บางคน เพียงแต่บางคนที่ว่านั้นผมก็คิดว่ามีจำนวนมากมายมหาศาลอยู่
ปัจจุบันนี้มีคนมากมายที่จากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ทรมาน บางคนอาจทรมานไปเดือนสองเดือน แต่บางคนก็อาจทรมาณไปถึง10ปีกว่าจะสูญเสียชีวิตไปจริงๆ และสิ่งที่ผมสงสารและเห็นใจอย่างมากเลย ก็คือกลุ่มหลังนี่ล่ะครับ เพราะไม่ใช่กับเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น แต่ญาติผู้ป่วยก็ต้องอดทนยากลำบากคอยดูแลผู้ป่วยไปเป็น10ปีด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ผมได้เห็นมาตลอดหลายปีในฐานะหมอคนหนึ่ง
ผมสามารถบอกได้...ว่าโรคที่เป็นสาเหตุเกือบทั้งหมดที่ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมาณไปหลายปีก่อนเสียชีวิตนั้น คือโรคที่คนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ คือโรคที่คนส่วนใหญ่ดูถูกดูแคลนมัน เพราะมันคือโรคที่แทบไม่มีอาการใดๆเลยในวันที่หมอบอกคุณว่า”คุณเป็นแล้ว”
3
ใช่แล้วครับ มันคือกลุ่มความผิดปกติ 3 โรค อันได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูง พวกมันเป็นดั่ง ”ฆาตกรเงียบ” เสมอมา...บางทีผมเห็นผู้ป่วยเหล่านี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยใส่ใจดูแลตัวเอง ผมก็จินตนาการได้เลยว่าในอีก20-30ปีข้างหน้า...พวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่ปัญหาก็คือตัวพวกเขาเองนั้นมองไม่เห็น หรือจะพูดให้ถูกก็คือ”พยายามมองข้ามมันไป”
ผมก็ไม่ได้อยากเขียนบทความให้น่ากลัว แต่บทความนี้ผมจะเขียนถึงจุดจบของโรค 3 โรคนี้ ถ้าพวกคุณไม่เคยสนใจที่จะควบคุมมัน...
สำหรับผมเเล้ว มีอยู่ 3 จุดจบที่น่ากลัวมากสำหรับโรคเหล่านี้ เป็น 3 จุดจบที่ทำให้ผู้ป่วยต้องทรมาณไปหลายสิบปีก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ผมขอเล่าเรียงลำดับความน่ากลัวจากน้อยไปหามาก ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ
1.โรคหัวใจ จุดจบของโรคนี้ก็คือภาวะ”หัวใจวายเรื้อรัง” ที่ดำเนินโรคไปถึงขั้นที่หัวใจไม่ยอมบีบตัวอย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องทนกับภาวะเหนื่อยง่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วงแรกๆอาจเหนื่อยเฉพาะตอนออกแรง แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะหอบเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา แม้นั่งพักอยู่เฉยๆก็หอบเหนื่อยเหมือนไปออกกำลังกายหนักๆมา ต้องควบคุมโดยการกินยามากมายและจำกัดอาหารและน้ำเพื่อไม่ให้มีอาการหอบเหนื่อย ผู้ป่วยที่หมอพบเจอหลายๆคนกลายเป็นคนซึมเศร้าตัดพ้อว่า เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมไปเสียที
2.โรคไต โรคนี้คือโรคแห่งความทรมาณอย่างแท้จริง จุดจบของโรคนี้ก็คือภาวะ”ไตวายระยะสุดท้าย” คือระยะที่ไตของผู้ป่วยไม่สามารถกรองของเสียในร่างกายได้อีกต่อไป ต้องอาศัยเครื่องล้างไตเพื่อทำงานทดแทน และการล้างไตนี่ล่ะครับ คือความทรมาณอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ใช้วิธีล้างไตทางช่องท้อง ซึ่งผู้ป่วยต้องอยู่กับบ้านเพื่อล้างไตอยู่เกือบตลอดเวลาทุกๆวัน ถ้าผู้ป่วยจะไปไหนก็อาจต้องหิ้วเครื่องล้างไตไปด้วย ทำแบบนี้ทุกๆวันไปตลอดชีวิต หรือบางคนก็ล้างไตทางเส้นเลือด เป็นการดูดเลือดทั้งร่างกายมากรองของเสียแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ โดยต้องทำ 2-3ครั้ง/สัปดาห์ และตลอดทั้งชีวิตเช่นเดียวกัน
3.โรคสมอง โรคนี้ผมเห็นว่าคือความทรมาณสูงสุดในบรรดาโรคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ”การเป็นอัมพาต” บางคนเป็นน้อยก็อาจฟื้นฟูได้ แต่บางคนก็อาจต้องเป็นอัมพาตไปตลอดทั้งชีวิต นอนติดเตียง ทำอะไรเองไม่ได้ ต้องให้ผู้ดูแลคอยป้อนข้าว อาบน้ำ ทำความสะอาดปัสสาวะอุจจาระ ตลอดทั้งวัน และทุกๆวัน และไปตลอดทั้งชีวิต เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล และเป็นความโชคร้ายเหลือเกินที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพนี้ ไปได้อีกถึง10ปี หรือหลายสิบปี
สิ่งเหล่านี้คือจุดจบที่ดูห่างไกลเสียเหลือเกิน แต่ถ้าคุณลองเดินเข้าไปถามคนที่กำลังหอบเหนื่อยจากโรคหัวใจวาย คนที่กำลังล้างไต หรือคนที่เป็นอัมพาตอยู่ พวกเขาจะบอกเป็นเสียงเดียวกัน...ว่าเมื่อหลาย10ปีที่แล้ว พวกเขาก็ต่างผ่านการเป็นโรคความดัน เบาหวาน และไขมันที่ไม่เห็นมีอาการใดๆมาแล้วทั้งสิ้น แต่ในวันนั้นพวกเขาไม่เคยคาดฝันกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้เลย
เมื่อถึงจุดๆนี้แล้ว ถ้าผู้ป่วยไม่มีกำลังใจหรือเป้าหมายในชีวิตเหลืออยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือ “การจากโลกนี้ไป” เพื่อจบเส้นทางในการมีชีวิตอยู่อย่างทรมาณ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ดูแลหรือคนที่พวกเขารักอีกต่อไปเสียที...
บทความนี้คือสิ่งที่หมอส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดให้ผู้ป่วยฟังแบบต่อหน้าในห้องตรวจ เพราะการพูดถึงการเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาณนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ในห้องตรวจที่หมอมีผู้ป่วยต่อคิวรอตรวจจำนวนมหาศาลและมีเวลาให้ผู้ป่วยคนละไม่เกิน 5 นาทีนั้น หมอไม่สามารถที่จะพูดเรื่องแบบนี้ให้ผู้ป่วยเข้าใจได้จริงๆหรอกครับ และอาจกลายเป็นการขู่ผู้ป่วยโดยไม่มีเวลาชี้แจงไปเปล่าๆ
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้นมา โดยหวังว่าจะทำให้คนทั่วไปได้มองเห็นมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และหันมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และอื่นๆ
หลายคนอาจคิดว่าไม่ต้องมีสุขภาพที่ดีมากมายก็ได้ มีชีวิตถึงแค่ 60 กว่าปีก็คุ้มแล้ว แต่ในความจริงแล้วคนที่มีอายุเพียงเท่านี้นั้นต่างจากโลกนี้ไปด้วยความทรมานแทบทั้งนั้น และผมสามารถบอกได้ว่ามีเพียงการมีสุขภาพที่ดีเท่านั้น ที่จะการันตีได้ว่าคุณจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมาณก่อนถึงวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ...
#Healthstory
อย่าลืมกดLike&Shareให้ด้วยนะครับ
ติดตามเรื่องราวสุขภาพดีๆอีกได้ที่
Blockdit : Healthstory - เรื่องสุขภาพ ง่ายนิดเดียว
โฆษณา