25 พ.ค. 2019 เวลา 16:51 • ไลฟ์สไตล์
บทส่งท้ายครับ จะจบจริงๆ แล้วนะ
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านทั้งตั้งแต่ตอนแรก และเพิ่งจะตามมานะครับ
จากนี้ไป คงไม่มีตอนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว จนกว่าเราจะพบกันใหม่
ขอเวลาไปสร้างทีมเซลส์ก่อนนะครับ
ถ้าทุกอย่างลงตัว คงได้กลับมาเล่าเรื่องราวกันต่อไปแน่นอน
ขอบคุณครับ
บทส่งท้าย
 
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ให้ลองนึกถึงอาชีพๆ นึงที่คุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงรายได้ของมัน คำตอบของอาชีพนั้นนั่นแหละ คือสิ่งที่คุณอยากทำมากที่สุด
 
อาชีพ “นักเขียน” คือ คำตอบนั้นในใจผม และเป็นคำตอบนั้นเสมอมา
 
แต่เป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบ อาจจะเพราะผมยังไม่มีความกล้า หรือพยายามไม่มากพอ ที่จะทำให้ผมได้เดินทางสายนี้อย่างจริงๆจังๆ แน่ล่ะทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้ทำตามใจฝันตัวเองจริงๆ
 
“จงทำในสิ่งที่รัก” นั่นก็ถูกส่วนนึง แต่จะมีใครบ้างที่โชคดีขนาดที่สามารถทำในสิ่งที่รักแล้วสิ่งที่รักนั้นสามารถเลี้ยงตัวเองได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น ในยุคสมัยปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนไปด้วยทุนนิยม
 
แต่การ “รักในสิ่งที่ทำ” เป็นอีกประโยคนึงที่แยกกันราวกับมันมาจากคนละบริบท ซึ่งถ้าให้ถูกควรจะเป็นว่า “จงทำในสิ่งที่รัก แต่ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก ก็จงรักในสิ่งที่ทำ”
 
ผมไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำ ว่าผมรักในอาชีพเซลส์รึเปล่า ตอนเข้ามาทำแรกๆ ก็ไม่ได้รู้สึกรักมันหรอกจริงๆ นะ แค่รู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ควรทำในตอนนั้นก็แค่นั้น ผมยังจำได้ดีที่วันนึงผมกลับมาจากเตะบอลกับเพื่อนแล้วเห็นแม่ขับรถกลับมาถึงบ้านหลังผมด้วยอาการอิดโรย ผมถามว่าแม่ไปไหนมา แม่บอกว่าแกไปหาลูกค้าที่ฉะเชิงเทรา
 
ผมไม่เคยลืมภาพนั้นเลย ในขณะที่เราออกไปเตะบอลอย่างสนุกสนาน แต่แม่กลับกำลังทำงานอย่างยากลำบากในวัยเกือบ 60 เอ๊ะ คนปกติเค้าเกษียณกันเวลานี้ใช่มั๊ยวะ แม่ยังอุตส่าห์ถามผมอีกนะว่า “กินอะไรรึยังลูก ให้แม่ผัดข้าวให้มั๊ย”
 
วินาทีนั้นผมคิดทันทีว่า แล้วเราช่วยอะไรแม่ได้บ้าง
 
ผมเข้าใจดีว่าออฟฟิศและนิสัยของพ่อเป็นอย่างไร ดูทรงแล้วคงยากที่จะหาพนักงานที่ภักดีมาช่วยงานและแบ่งเบาภาระตายายสองคนได้ยาก ไม่ใช่ว่าแกไม่ดีหรอก แต่น่าจะหาคนเข้าใจพ่อผมได้ไม่ง่ายนัก เพราะความหัวดื้อของพ่อผม
 
จับพลัดจับผลู ผมก็เลือกทำในสิ่งที่ควรทำในเวลานั้น ทั้งๆที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าจะทำได้มั๊ย เพราะตัวเองก็แทบไม่มีประสบการณ์ทางนี้มาก่อนเลย
 
เคราะห์ดีที่คณะสถาปัตย์ที่ผมเรียนจบมา มักบอกกันเสมอๆ ในหมู่รุ่นพี่รุ่นน้อง จนเหมือนกับเป็น motto ประจำคณะ คือคำว่า “เต็มที่”
 
คำนี้เป็นคำสั้นๆ ที่สื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย มันหมายถึง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้ถามตัวเองอยู่เสมอๆว่า สิ่งที่เราทำนี้ เราทำเต็มที่รึยัง พยายามถึงที่สุดรึยัง หากคิดว่ายังก็ขอให้พยายามมากไปกว่านี้อีก “ยัง พวกมึงยังเต็มที่ได้อีก” เป็นประโยคที่ผมได้ยินเสมอตอนที่รับน้องตอนปี 1
 
ผมหยิบมันมาใช้โดยไม่รู้ตัวตอนที่เริ่มทำงาน ผมมักถามตัวเองอยู่เสมอ (ตอนเป็นนักออกแบบ) ว่าที่กูทำอยู่นี่มันดีกว่านี้ได้อีกมั๊ย(วะ) ด้วยข้อจำกัดของเวลา และงบประมาณของลูกค้า
 
ลากยาวมาถึงตอนที่มาทำงานเซลส์กับพ่อ ผมก็มักถามตัวเองเวลาไปหาลูกค้าเสมอๆ ว่า เราทำอะไรได้อีกถึงจะได้ลูกค้าเจ้านี้มา หรือวันนี้ขับรถมาไกลขนาดนี้ เราได้หาลูกค้าจนสุดความสามารถรึยัง บ่อยครั้งผมพบว่าวันวันนึงผมหาลูกค้าได้ไม่ต่ำกว่าสี่ราย หากยังไม่เจอลูกค้า prospect ตามที่ต้องการ ผมก็มักจะวนเวียนอยู่แถวนั้น knock door เอาตามโรงงานบ้าง หรือโทรนัดอยู่หน้าโรงงานน่ะแหละ จนกว่าจะเจอลูกค้า prospect ที่ตัวเองพอใจ ถึงจะกลับบ้าน
 
ผมเชื่อในประโยคที่ว่า “จงรักในสิ่งที่ทำ” เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ และยิ่งเราเอาคำว่า “เต็มที่” มาใช้ก็ยิ่งทำให้เราสามารถที่จะรักในสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น
 
มนุษย์เรานั้นมีความสามารถมากกว่าที่เราคิดอยู่เสมอ หากเราทำทุกๆอย่าง อย่างเต็มที่จริงๆ ผลลัพธ์ย่อมต้องออกมาไม่ขี้เหร่เป็นแน่ และผลลัพธ์ที่ออกมาดีนั่นเอง จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เราสามารถที่จะรักในสิ่งที่ทำนั้นได้จริงๆ
 
คำว่าเต็มที่กับคำว่ารักในสิ่งที่ทำ จึงเป็นสองสิ่งที่ควรนำมาใช้คู่กัน
 
ผมคิดว่าผมใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆ กว่าจะเก็บดอกผลในความพยายามของตัวเองจากการเป็นเซลส์ และยิ่งผมทำอาชีพนี้ไปนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกรักในอาชีพนี้มากขึ้นเท่านั้น อย่างที่ตัวเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน
แล้ววันเวลาที่ผ่านไปในทุกๆวัน ก็หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นเซลส์แมนเต็มตัว จนลืมอาชีพที่ตนเคยใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนักเขียนไปเสียสนิท ยังไงก็ดีผมเองก็ไม่เคยละทิ้งการเขียนหนังสือ ตลอดรายทางของชีวิตเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมก็มักจะเขียน เขียน เขียน อยู่เสมอ
 
มีคนบอกว่านักเขียนต้องใช้ชีวิตมากกว่าคนอื่น ถ้าคุณไม่ใช่นักเขียนระดับเทพ ประเภทที่สร้างเรื่องราวได้เอง คุณก็ต้องเดินทาง เสาะแสวงหา พาตัวเองไปในที่แปลกๆ สถานการณ์แปลกๆ เพื่อสร้างเรื่องราวที่ดูน่าสนใจแล้วกลับมาเขียนหนังสือ ผมคิดในใจว่ามึงจะบ้าเหรอ ลำพังแค่ออกไปหาลูกค้า ขับรถกลับบ้านก็แทบจะสลบเหมือดแล้ว จะให้กูไปใช้ชีวิตที่ไหนอีกวะ แล้วถ้ากูไปใช้ชีวิตอย่างนั้นจริงๆ แล้วพ่อแม่กูล่ะ ไม่ต้องขับรถหาลูกค้าไปจนแก่เรอะ (นี่ก็แก่แล้วนะ)
 
ดูเป็นความคิดที่ขวางโลกเสียนี่กระไร
 
ในทุกๆวันที่ไปหาลูกค้าแล้วมีโอกาสได้เจอแฟนผม ผมก็มักจะเล่าเรื่องราวของการไปหาลูกค้าให้แฟนฟังอยู่เสมอ ทั้งเคสที่สำเร็จและไม่สำเร็จ บ่นนู่น บ่นนี่ตามประสา บ่นจนเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ แล้วทำไมกูไม่เขียนมันออกมาวะ ?
 
ละใครบอกมึงว่านักเขียนทุกคนต้องออกเดินทาง .... หากว่านักเขียนทุกคนต้องไปต่างประเทศถึงจะกลับมาเขียนหนังสือได้ โลกนี้คงมีแต่หนังสือท่องเที่ยว
 
ด้วยความบังเอิญจริงๆ ช่วงนั้นก็เริ่มมีแอพพลิเคชั่น blockdit โผล่ขึ้นมา ทำให้ผมมีช่องทางในการลองตลาดดูว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนจะมีคนอ่านสนใจมั๊ย แม้ผมจะเขียนเรื่องราวต่างๆ อยู่เป็นเนืองๆ คล้ายกับไดอารี่ชีวิต แต่ผมก็ไม่เคยเขียนอะไรยาวๆ ได้สำเร็จ ผมคิดว่าหากเขียนเป็นตอนๆ แล้วผลตอบรับออกมาดี มีคนติดตาม ผมก็น่าจะมีกำลังใจในการเขียนตอนต่อๆไป คราวนี้น่าจะเขียนได้เป็นเล่มออกมาซักทีตามที่เคยฝันไว้
 
แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ ที่ผมเห็นสิ่งที่ตัวเองเขียน ยาวพอจะเป็นหนังสือได้ 1 เล่ม นี่เป็นสิ่งที่มีความหมายมากมายสำหรับผม
 
ผมอยากจะบอกทุกๆคนเลยว่า ทุกตัวหนังสือ และเรื่องราวที่เขียนขึ้นมาในเซลส์นอกตำราเล่มนี้ ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะคัดกรองสิ่งที่ “น่าจะ” เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ได้อ่าน หรืออย่างน้อยๆก็น่าจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้อ่านได้
 
ส่วนเพิ่มเติมที่นอกเหนือไปจากนั้น เช่น เทคนิกการปิดการขาย การเข้าหาลูกค้า หรืออะไรก็ตามที่เก็บได้ตามรายทาง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์จริงที่เล่าสู่กันฟังละกันนะครับ ใครจะหยิบตรงไหนไปใช้ไม่มีการหวงห้ามแต่ประการใด จะดีใจซะอีกถ้าคนอ่านเห็นว่ามันเป็นประโยชน์และนำไปใช้งานได้จริงๆ ในทางกลับกันถ้าใครเห็นว่าอะไรที่ไม่เหมาะสมก็อย่าไปทำตามแล้วกัน บางทีผมก็คิดว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนักในบางเรื่อง
 
หากมีคนถามผมว่าคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นเซลส์คืออะไร ผมตอบได้เลยว่า คนที่เป็นเซลส์ที่ดี ไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่กะล่อนที่สุด ไม่ใช่คนที่แก้ปัญหาเก่งที่สุด แต่คือคนที่มี “ทัศนคติ” ที่ดีที่สุดต่างหาก
 
ทัศนคติที่ดี คิดบวก จะผลักดันให้ความสามารถอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการขายเปล่งประกายออกมาเอง ผมพบว่าเซลส์ที่เก่งมีสไตลส์เป็นของตัวเอง บางคนอาจจะพรีเซ้นท์เก่ง บางคนมีลูกล่อลูกชนไม่แพ้ใคร และบางคนผูกมิตรเก่งเป็นบ้า แต่สิ่งที่เค้าเหล่านั้นมีเหมือนกันคือ ทัศนคติที่ดีครับ
 
การถูกปฎิเสธ ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ผมไม่ได้หมายความถึงแค่ ลูกค้าปฎิเสธ สินค้าเท่านั้น แต่หมายความถึง โอเปอร์เรเตอร์ที่ทำน้ำเสียงไม่อยากจะคุย หมายความถึงยามที่กีดกันไม่ให้เราเข้าไปพบลูกค้า ตลอดจนการผิดนัดจากลูกค้าที่เรานัดเอาไว้อย่างดิบดี นี่เป็นเรื่องที่โคตรจะธรรมดาสำหรับชีวิตการเป็นเซลส์ ที่เราพบเจออยู่ทุกๆวันในการทำงาน
 
แต่ทัศนคติที่ดีจะทำให้คุณไม่ท้อถอยและมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป คุณทำได้เพียงมุ่งมั่นขายต่อไป วันนึงยอดขายก็จะมาเอง เมื่อนั้นแหละ ผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็สามารถเป็นเซลส์ได้ครับ เชื่อผม
ใครที่คิดว่าอ่านจบแล้วชอบ ฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคร้าบ จะเป็นพระคุณมากๆเลยครับ
สำหรับคนที่ไม่อยากรออ่านตอนต่อๆ ไป ขณะนี้ผมได้เขียนจนจบแล้วนะครับ ใครที่สนใจเวอร์ชั่น ebook สามารถเข้าไปตาม Link ด้านล่างนี้ได้เลย
สำหรับ Meb นะครับ
สำหรับ Ookbee ครับ
ขอบคุณมากคร้าบบบ
โฆษณา