12 ก.ค. 2019 เวลา 06:30 • สุขภาพ
ต้อหิน...เมื่อดวงตาแข็งขึ้นเหมือนเป็นหิน
ถ้าถามว่าโรคๆใดที่ครองสถิติทำให้มนุษย์ตาบอดมากที่สุดในโลก คำตอบก็คือโรค”ต้อกระจก”ครับ แต่ก็อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังในบทความที่แล้วนะครับ จริงๆแล้วต้อกระจกไม่ได้ทำให้เกิดตาบอดแบบ”ถาวร” เพราะโรคๆนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ แล้วคุณรู้ไหม ว่าโรคๆใดที่ครองสถิติทำให้มนุษย์ตาบอดมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากต้อกระจก
1
สำหรับอันดับสองนี้ คืออันดับสองที่น่ากลัวกว่าอันดับหนึ่งครับ เพราะเป็นอันดับสองที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นไปอย่าง”ถาวร” เป็นอันดับสองที่ยังไม่มีการรักษาใดๆที่ทำให้หายขาดได้ นั่นก็คือโรค ”ต้อหิน” นั่นเองครับ
1
ต้อหิน...โรคที่รักษาให้หายไม่ได้ แต่เราสามารถควบคุมมันได้ ถ้าคุณอยากรู้จักโรคนี้แล้วล่ะก็ ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำถึงกายวิภาคของดวงตาคร่าวๆเสียหน่อยนะครับ ดวงตาของมนุษย์นั้นก็เหมือนลูกองุ่นขนาดเล็ก ซึ่งประกอบไปด้วยผนังรอบดวงตา และไส้ในซึ่งของเหลวที่เรียกว่า”น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา” และ”วุ้นตา” โดยน้ำหล่อเลี้ยงลูกตานี้ก็คือตัวเอกสำคัญในโรคที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้นั่นเองครับ
น้ำหล่อเลี้ยงลูกตานี้มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น เป็นแหล่งสารอาหารตามชื่อของมัน และนอกจากนี้ก็ยังมีหน้าที่สำคัญคือการช่วยคงสภาพให้ลูกตาเต่งตึงเป็น”ทรงกลม”ได้นั่นเองครับ โดยน้ำหล่อเลี้ยงลูกตานั้นจะมีการสร้างขึ้นมาใหม่และระบายทิ้งอย่างสมดุลอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความดันภายในลูกตาเหมาะสมและคงสภาพเป็นทรงกลมที่สวยงามได้
ความดันภายในลูกตาสำคัญอย่างไร? ต้องบอกการคงสภาพความดันภายในลูกตาให้เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างมากครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ลองจินตนาการว่าถ้าลูกตาของเราไม่มีความดันภายในเลย จะเกิดอะไรขึ้น ดวงตาก็คงแฟบลงใช่ไหมละครับ แต่ถ้าความดันภายในลูกตาสูงมากเกินไปล่ะ ก็จะทำให้ลูกตาเต่งตึงมากเกินไป ซึ่งสถานการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการสร้างและระบายทิ้งของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาที่เสียสมดุลไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วตัวการสำคัญนั้นเกิดจากการระบายออกไปไม่ได้เนื่องจากมีการอุดตันที่จุดต่างๆของเส้นทางระบายน้ำนั่นเอง แต่ว่าก็สามารถเกิดขึ้นจากการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงมากเกินไปได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อดวงตามีความดันสูงขึ้น โดยเฉพาะยิ่งสูงขึ้นมากๆ ถ้าได้ลองตรวจตาในช่วงนี้แล้วก็จะพบว่าดวงตามันเต่งตึงมากๆ และอาจเเข็งเหมือนก้อนหินเลยล่ะครับ จึงเป็นที่มาของชื่อโรคว่า”ต้อหิน”นั่นเอง
เมื่อแรงดันในลูกตาสูงขึ้น สิ่งที่จะซวยตามมาก็หนีไม่พ้นสิ่งที่อยู่ภายในลูกตาครับ พวกมันจะโดนเเรงดันอัดอยู่ตลอดเวลา และอาจทำให้พวกมันทำงานผิดปกติไป โดยสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุด ก็คือเส้นประสาทครับ มันคือสายไฟที่ทำหน้าที่เชื่อมดวงตาทั้ง2 กับสมองของพวกเรา ถ้าพวกมันทำงานผิดปกติไป สมองก็จะไม่ได้รับสัญญาณจากดวงตาอีกต่อไป ให้พูดง่ายๆก็คือตาบอดนั่นเเหละครับ
แต่จริงๆแล้วแรงดันในลูกตาที่สูงนั้นไม่ได้เพียงทำให้เส้นประสาททำงานผิดปกติไปหรอกครับ เพราะมันสามารถทำให้เส้นประสาทรู้สึกอึดอัดจนขาดใจตายไปได้เลยล่ะครับ ดังนั้นเมื่อมีแรงดันในลูกตาสูงขึ้น ก็เลยทำให้ทำให้เส้นประสาทได้ตายลงไปเรื่อยๆทีละตัวสองตัวโดยที่เราไม่อาจรู้ตัว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่าต้อหินบางชนิดก็อาจมีแรงดันในลูกตาที่ปกติ แต่ก็ทำให้เส้นประสาทตายได้เช่นกัน
ด้วยความที่เซลล์ประสาทนั้นเป็นเซลล์ที่ไม่สามารถแบ่งตัวได้อีกแล้ว ทำให้การตายของเส้นประสาทนั้นเป็นการตายอย่างถาวร ไม่ต้องหวังให้มันแตกหน่องอกมาใหม่นะครับ หรือพูดอีกอย่างก็คือการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรนั่นเอง
เมื่อเป็นโรคต้อหินแล้ว โรคก็จะดำเนินไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน ถ้าคุณอยากรู้ว่าคนที่เป็นต้อหินนั้นมองเห็นเป็นยังไง ให้ลองเอากระดาษA4ม้วนเป็นทรงกระบอกแล้วมองผ่านรูนั้นๆในขณะที่หลับตาอีกข้างหนึ่งดูนะครับ นั่นเเหละครับ ผู้ป่วยโรคต้อหินจะมองไม่เห็นภาพด้านขอบๆเลย มองเห็นแต่บริเวณตรงกลางเท่านั้น แต่ด้วยความที่โรคมันค่อยๆกัดกินลานสายตาไปทีละน้อยในเวลาหลายๆปี ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังถูกขโมยพื้นที่การมองเห็นไป แต่สุดท้ายแล้วโรคก็จะดำเนินไปถึงขั้นที่ตาบอดสนิทอย่างถาวร
แต่อย่างไรก็ตามก็มีต้อหินบางชนิดที่มีแรงดันในลูกตาสูงขึ้นพรวดพราดอย่างรวดเร็วได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการอุดตันของทางระบายน้ำหลายๆเส้นทางพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นได้อย่างรวดเร็วถ้ามารักษาไม่ทัน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหินนั้นมีหลายอย่าง ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ชนชาติผิวดำ ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และยังอาจมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอีกด้วย แต่ต่อให้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใดๆเลย ก็สามารถเป็นโรคต้อหินได้เช่นกัน
ดังนั้นการตรวจพบในระยะที่ยังเป็นน้อยๆอยู่จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคต้อหิน แต่อย่างไรก็ตามโรคต้อหินนั้นเป็นภัยเงียบ ผู้ป่วยจำนวนมากจึงมักมารู้ตัวว่าเริ่มมองเห็นไม่ชัดแล้วก็ต่อเมื่อมีความเสียหายที่เส้นประสาทประสาทตาไปมากมายแล้ว
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีการแนะนำว่าคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคต้อหินดังต่อไปนี้ ให้ไปพบจักษุแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อตรวจหาความผิดปกติและเริ่มรักษาเพื่อชะลอไม่ให้เป็นมากขึ้น ซึ่งได้แก่
1.อายุ 40 ปีขึ้นไป
2.มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
3.เป็นโรค เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
4.สายตาสั้นหรือยาวมาก
5.เคยผ่าตัดดวงตา หรือมีประวัติอุบัติเหตุบริเวณดวงตา
6.กินหรือหยอดตาด้วยยาที่มีสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน
การรักษาโรคต้อหินนั้นมีหลายวิธี ซึ่งเน้นไปที่การลดความดันภายในลูกตา ไม่ว่าจะเป็นการกินยา การหยอดตา การเลเซอร์ หรือการผ่าตัด ซึ่งการรักษาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้ารักษาตั้งแต่ระยะต้นๆของโรค
แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องทราบเอาไว้ว่า การรักษาทำได้แต่เพียงชะลอไม่ให้โรคต้อหินเป็นมากขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถคืนชีพให้กับเส้นประสาทที่ตายไปแล้วได้ ซึ่งต่างจากโรคต้อกระจกที่สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา
ดังนั้นเพื่อไม่ให้โรคต้อหินขโมยการมองเห็นของคุณไป ใครที่มีความเสี่ยงดังที่กล่าวไปก็ควรไปตรวจสุขภาพดวงตาด้วยนะครับ
#Healthstory
อย่าลืมกดLike&Shareด้วยนะครับ^^
ติดตามเรื่องราวสุขภาพดีๆจากปากหมออีกได้ที่
Blockdit : Healthstory - เรื่องสุขภาพ ง่ายนิดเดียว
[R]
UpToDate(แหล่งรวมข้อมูลทางการแพทย์โดยเน้นหลักฐานที่ทันสมัย)
- Open-angle glaucoma: Epidemiology, clinical presentation, and diagnosis
- Angle-closure glaucoma
โฆษณา