16 ก.ค. 2019 เวลา 23:21
การหายจากมะเร็งของคุณชิน
คุณชิน เทะระยะมะ (Shin Terayama) ชาวญี่ปุ่น เกิดในช่วงปี ๑๙๕๐ ตั้งแต่เด็กเขาชอบเล่นเซลโล เป็นอย่างมาก แตหลังจบจากวิทยาลัย เขาก็ทำงานอย่างหนักจนทิ้งมันไป เขามุ่งมั่นจนเป็นเจ้าของบริษัท ทำงานวันละ ๑๒-๑๕ ชั่วโมง ในใจเขาพอใจกับความสำเร็จแม้ร่างกายเขาจะอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
วันหนึ่งเขาปัสสาวะเป็นเลือด เมื่อไปตรวจคุณหมอบอกว่าเขาเป็น ‘มะเร็งที่ใต’ (Renal cell CA) ข้างขวา และต้องผ่าตัดเลย แต่เนื่องจากเขาห่วงทำงานมากกว่า จึงขอเลื่อนการผ่าตัดคุณหมอไปเรื่อยๆ จนอาการเป็นมาก เดินไม่ได้ ครอบครัวจึงขอร้องให้เขาผ่าตัด ซึ่งก็เป็นเวลา ๕ เดือนหลังจากนั้น
ตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นในสมัยนั้น หมอกับญาติจะไม่บอกกับคนไข้ตรงๆ ว่าเป็น ‘มะเร็ง’ หลังผ่าตัด เมื่อเขาถามคุณหมอว่า ผลชิ้นเนื้อเป็นมะเร็งหรือไม่ คุณหมอก็จะตอบว่า ‘ยังไม่ชัดเจน’
หลังจากนั้น หมอบอกเขาว่าจะให้ ‘ยาฉีดบางชนิด’ เพื่อไม่ให้ก้อนกระจาย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่านั่นคือ Cisplatin อันเป็นยาคีโมชนิดหนึ่ง หลังจากได้รับ ผมเขาร่วงทั้งหมด หลายครั้งที่เขาถามคุณหมอว่า “ยาชนิดนี้มันช่างแรงเหลือเกิน..ยานี้ชื่ออะไรครับ?”
คุณหมอก็จะตอบว่า “ไม่ต้องกังวลไปครับ มันเป็นยาที่ดี”
หลังจากนั้นหมอก็บอกเขาอีกว่าจะก็ได้รับ “การรักษาโดยแสงเบต้าชนิดพลังงานสูง” ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือการฉายแสงตามมาตรฐานการรักษานั่นเอง ผลข้างเคียงของการรักษาทั้งสองทำให้ร่างกายเขาอ่อนล้ามาก
หลังจากครบการรักษา การสแกนร่างกายพบว่า มะเร็งได้แพร่กระจายไปที่ปอดขวาและลำไส้ หมอ บอกกับภรรยาว่าเขาจะมีชีวิตได้อีก ๒-๓ เดือน
รวมเวลาที่เขานอนรพ.ประมาณ ๕ เดือน ระหว่างนี้เพื่อนและคนรู้จัก แวะเวียนมาเยี่ยมเขากว่า ๕๐๐ คน ดูเหมือนมา ‘ทักทายให้กำลังใจ’ แต่แท้จริงแล้วพวกเขามา ‘เพื่อบอกลา’ เพราะในจุดนั้นทุกคนต่างรู้ความจริงกันหมดแล้ว มีคนเดียวที่ยังไม่รู้คือ ‘ตัวคุณชินเอง’
คืนหนึ่ง เขาฝันประหลาดว่า เขานอนอยู่ในโลงศพ ในงานศพของตัวเอง ตัวเขาลอยอยู่ข้างบน ในขณะที่ฝาโลงกำลังจะถูกปิด เขากลับมาเข้าร่างของตัวเอง และตะโกนออกมาว่า “ผมยังมีชีวิตอยู่!” หลังจากนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาบอกว่า มันเป็นแค่ความฝัน แต่มีสิ่งประหลาดที่เปลี่ยนไปคือ ‘การรับกลิ่นของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก’
จากการรับกลิ่นที่เพิ่มเป็นอย่างมากทันทีนี้ มันทำให้เขาทุกข์ใจกับการอยู่รพ.เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขานอนรวมกับผู้ป่วยคนอื่นด้วย คืนหนึ่งไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงแอบออกไปนอนสูดอากาศบริสุทธิ์บนดาดฟ้าของรพ.
ทันใดนั้นเองกลุ่มเจ้าหน้าที่ก็กรูเข้ามาตะโกนบอกเขาว่า “อย่ากระโดด!” เขาพยายามอธิบายว่าเขาไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
เขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการรักษาโรคด้วยตัวเอง!
ตอนเช้า เมื่อหมอได้รับรายงานก็รู้สึกไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก หมอบอกว่าถ้าเขาต้องการกลับบ้านก็เป็นสิทธิ์ของเขา ในตอนนั้นภรรยาเลยต้องบอกความจริง เขาตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน ทุกคนคาดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีก ๑-๓ เดือน
สภาพตอนกลับบ้าน เขาเดินโดยตัองใช้ walker/อุปกรณ์ช่วยเดิน และต้องให้สารอาหารผ่านทางเส้นเลือดดำ กินได้แต่น้ำเท่านั้น
ที่บ้านเขาพบว่าไม่สามารถดื่ม 'น้ำประปา’ แบบเดิมได้ เนื่องจากมีกลิ่น เขาพยายามจะแก้ไขโดยการเอา ถ่านกัมมันต์มากรอง และพบว่ามันดีมาก เขาเลยได้ข้อสังเกตว่า ‘น้ำที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก’ เขาเลยซื้อน้ำแร่มาดื่ม เขาดื่มแต่น้ำอย่างเดียว (water fasting) และรู้สึกอาการดีขึ้นแม้จะไม่ได้รับการรักษาอะไร
(ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนมากเวลาป่วยก็จะงดกินอาหาร ดื่มแต่น้ำ เพื่อให้พลังงานถูกนำมาใช้ในการเยียวยาตัวเองแทนที่จะนำไปย่อยอาหาร
ลองนึกถึงเวลาแบตฯโทรศัพท์ต่ำ เราเปิดใช้โหมดประหยัดพลังงาน โหมดนี้จะใช้พลังงานกับระบบและแอพที่จำเป็นเท่านั้น โดยตัดการใช้งานระบบหรือแอพที่ไม่จำเป็นออกไป)
โชคดีที่ในตอนนั้นเขาได้รับสารอาหารผ่านทางเส้นเลือดดำอยู่แล้ว ระบบทางเดินอาหารจึงได้พัก
ในตอนเช้าวันถัดมา เขาตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ขึ้นไปบนดาดฟ้า เห็นแสงอาทิตย์รำไร รู้สึก 'ท่วมท้น’ ไปด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่อีกวัน เขาตระหนักรู้ว่าจะตายในไม่ช้า และชีวิตในเช้าแต่ละวันคือ ‘ของขวัญ’
ความกลัวตายถูกแทนที่ด้วยความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ที่ยังมีชีวิต
และเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักรู้ว่า พลังงานที่เราได้รับทั้งหมดจากจักรวาลมาจาก ‘ดวงอาทิตย์’ นั่นเอง
หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไปรับแสงอาทิตย์ทุกวัน
เขาสังเกตว่า ขณะที่รับแสงอาทิตย์ ร่างกายเขาดีขึ้นโดยการ ‘หายใจออก’ (และการหายใจเข้าต่อโดยอัตโนมัติ) ด้วยความเป็นนักดนตรี วันหนึ่งเขาลองใส่ ‘โทนเสียง’ เข้าไปในการหายใจออก และเขาพบว่า ถ้าเขา ‘สัมผัสร่างกาย’ บางตำแหน่ง โทนเสียงจะเปลี่ยนไป และยังพบว่า โทนเสียงจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ชัดเจนแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่งของร่างกาย เช่น โทนเสียงต่ำ จะสะเทือนมากที่สุดตรงกลางหน้าอก โทนเสียงสูงกว่านั้นอีกนิดจะสะเทือนมากที่สุดตรงกลางคอ
1
เขารับแสงอาทิตย์ไปด้วยพร้อมกับใส่เสียงเข้าไปในการหายใจออกด้วย
เขามาทราบทีหลังว่า สิ่งที่เขาค้นพบนั่นคือตำแหน่งของ ‘จักระ’ (Chakra) ซึ่งก็คือศูนย์พลังงานของร่างกายที่เป็นพลังงาน (subtle body)
(ตามทฤษฎี คนเราป่วยเพราะมีการติดขัด ปิดกั้นของกระแสพลังงานที่ตำแหน่งเหล่านี้ การรักษาก็คือการทำให้มันไหลเวียนได้ตามปกติ เขาเชื่อว่าการส่งเสียงขณะหายใจออกพร้อมกับรับพลังงานแสงอาทิตย์ของเขา เหมือนเป็นการ ‘เคลียร์’ การปิดกั้นนั้น
คงคล้ายการทำบอลลูนเพื่อสลายลิ่มเลือดที่อุดตัน เมื่อสิ่งที่อุดกั้นหายไปทำให้กระแสเลือดกลับมาไหลเวียนได้ตามปรกติ)
วันหนึ่ง คุณชินสังเกตว่า ตอนเขาตื่นขึ้นมา นกทั้งหลายก็ร้องอยู่แล้ว เขาสงสัยว่า ทำไมนกถึงร้อง? และนกเริ่มร้องเมื่อไหร่? จากนั้นเขาเริ่มลองตื่นเช้าขึ้น ๑๐ นาที นกก็ยังร้องอยู่, ๒๐ นาที นกก็ยังร้องอยู่ ๓๐ นาที นกก็ยังร้องอยู่ จากนั้นเขาลองตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ๑ ชั่วโมง แล้วพบว่า 'ไม่มีเสียงนกร้องแล้ว'
เขาพยายามหาว่า นกเริ่มร้องกี่โมง แล้วก็พบว่า นกเริ่มร้องที่ ‘๔๒นาที’ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน! แม้ว่าพระอาทิตย์จะเปลี่ยนเวลาขึ้น นกก็จะเริ่มร้องที่ ๔๒ นาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเสมอ เขาจึงฝึกการหายใจออกและเปล่งเสียงไปด้วยเป็นเวลา ๔๒ นาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
เขา ‘ร้องเพลง’ ไปกับนกเหล่านั้นทุกเช้า
เขาอยากรู้ว่า ‘ทำไมถึงเป็น ๔๒ นาที?’ เขาจึงทำการทดลองโดยการเลี้ยงนกไว้ในกรง พอตอนกลางคืน ได้ลองปล่อยออกซิเจนผ่านหลอดเข้าไป หลังจากนั้น ๒-๓ นาที นกในกรงเริ่มส่งเสียง และหลังจากนั้นอีก ๒-๓ นาที (คาดว่าออกซิเจนหมด) นกก็เงียบเสียงและหลับต่อ เขาทำซ้ำหลายครั้งในเวลาต่างๆกัน ผลก็จะเป็นแบบเดิม และพอตอนเช้ามานกในกรงก็จะเริ่มส่งเสียงที่ ๔๒ นาทีจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน
จากการทดลอง ทฤษฎีของคุณชินคือ นกร้องเพื่อตอบสนองต่อ ‘ออกซิเจน’ ที่เริ่มถูกปล่อยจากต้นไม้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงในตอนเช้า ต้นไม้จะยังไม่สังเคราะห์แสงจนกระทั่งเริ่มสัมผัส 'แสงแรก’ ซึ่งก็จะเป็นเวลาประมาณ ๔๒ นาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขาเดาว่า การร้องของนกเป็นการทำให้นกสามารุถ’หายใจ'รับออกซิเจนอันบริสุทธิ์จากต้นไม้ที่เริ่มสังเคราะห์แสงได้
เขาจึงเชื่อว่า การหายใจเอาออกซิเจนที่บริสุทธิ์ ๔๒ นาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการที่เขามีมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ปอดขวา
2
นอกจากออกซิเจนแล้ว ทุกเช้าสิ่งที่เขาให้กับตัวเองคือ 'ความรัก’ เขาพบว่ามะเร็งเกิดขึ้นมาจากการทำงานหนัก ไม่ได้พักผ่อน เขาจึงจึงคิดว่า มะเร็งคือ ‘เด็กน้อยของเขา’ ทุกครั้งที่ปวด เขาจะพูดว่า “ขอบคุณนะที่เธอบอกฉันว่าเธอกำลังเจ็บปวด ฉันรักเธอเด็กน้อยของฉัน” เขาจะเอามือแตะที่ก้อน แล้วพูดว่า “ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ขอบคุณที่เธอเกิดขึ้นมา” ซ้ำๆ ทั้งวัน
หลังจากส่งความรัก อาการปวดของเขาลดลง หลับสบายขึ้นและแทบไม่ได้ใช้ยาแก้ปวดเลย
มะเร็งก็เหมือนเด็กน้อยที่เจ็บปวดที่ถูกทอดทิ้งมานาน การส่งความรักทำให้เซลล์ได้รับการเยียวยาและกลับมาเป็นเซลล์ปกติ
เขาบอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ มะเร็งคือร่างกายของเขา มะเร็งไม่ใช่ศัตรู มันยังเป็นร่างกายของเขา/The most important thing I learned is that cancer is my body. It’s not an enemy, it’s still my body.
(เขาเล่าว่าเขาเคยพบกับ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบและตั้งชื่อเซลล์ที่ชื่อว่า 'เซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ (natural killer cell) คุณชินบอกว่าเขาคิดว่าชื่อที่ถูกต้องน่าจะเป็น ‘เซลล์นักเยียวยาตามธรรมชาติ'/natural healer cell มากกว่า)สรุปว่าหลังจากกลับบ้านคุณชินรักษาตัวเองดังนี้
๑ รู้สึกขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่อีกวันในทุกๆ เช้า
๒ ดื่มน้ำแร่ที่สะอาดบริสุทธิ์
๓ ตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อหายใจและร้องเพลงไปกับบรรดานก ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
๔ ส่งความรักไปยังมะเร็งในทุกวัน
หลังจากทำแบบนี้ทุกๆ วัน สุขภาพของเขาดีขึ้นทีละน้อย ในไม่ช้าเขาเริ่มเดินได้และทานอาหารแบบปกติได้
ในตอนนั้นเขาตัดสินใจที่จะไม่กลับไปทำงานอีกเพื่อเยียวยาตัวเองอย่างเต็มที่ เขาเริ่มกลับไปทำสิ่งที่รัก ‘เล่นเซลโล’
เขาเล่นเซลโลร่วมกับเพื่อนๆ เขามี ‘ความสุข’ มาก
นอกจากนั้น เขายังได้ไปรักษาตัวที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบนภูเขา ที่นั่นเขาได้อาบน้ำแร่น้ำพุร้อนด้วย เขาบอกว่า ความร้อนมันช่วยทำให้เขารู้สึกได้ขับพิษ ร่างกายเราสร้างของเสียตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดในการขับพิษคือ 'การเปิดรูขุมขนบนผิวหนัง’ ซึ่งไม่ใช่แค่จากการทำให้เหงื่อออก แต่โดยการผ่อนคลายร่างกายผ่านการหายใจด้วย เขาย้ำว่า มันเป็นสิ่งสำคัญมาก
เรื่องการกิน เขากินแบบโฮลเกรน (whole grains) กินปลา ผักและผลไม้จำนวนมาก โดยเขาพยายามจะกินอาหารที่ทำให้สุขภาพดี แต่เขาเลี่ยงที่จะ 'เข้มงวด’ กับการกิน ไม่ยึดติดมากเกินไปว่า 'อันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้’ ยึดทางสายกลาง
เขาแซวว่า บางคนกินแบบแมคโครไบโอติก แต่ในความเห็นส่วนตัวเขาคิดว่าควรจะเรียกว่า 'ไมโครไบโอติก’ มากกว่า เพราะบางคนยึดในรายละเอียด 'เล็กๆน้อยๆ’ มากเกินไป เช่น ห้ามกาแฟ แต่ตัวเขาชอบกาแฟ เขารู้ว่ากาแฟดีกับร่างกายและสมองของเขา เขาบอกว่า “การเข้าใจและรู้ความจริงเกี่ยวกับอาหาร” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
(คงเหมือนเชฟที่ดี การรู้จักและเข้าใจวัตถุดิบ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด รายการแข่งทำอาหารจึงเอาจุดนี้มาวัด เช่น แมงป่องช้าง หัวแกะ ตีนจระเข้)
เขาเคี้ยวอาหารทุกคำอย่างช้าๆและรู้สึกขอบคุณสำหรับอาหารที่ได้รับ
เวลาผ่านไป อาการเขาดีขึ้นเรื่อยๆ หมอที่รักษารู้สึกประหลาดใจมาก และเมื่อทำสแกนร่างกายทุกๆ ๖ เดือน มะเร็งลดลงอย่างช้าๆ
ห้วงเวลา ๓ ปี หลังจากถูกส่งกลับบ้าน มะเร็งของเขาลดลงไปมาก แต่ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง
ในเวลานี้เรื่องราวของเขาแพร่กระจายออกไป เขาถูกขอให้ไปสอนเทคนิคการเยียวยาตัวเองในสถานที่ต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ องค์กรหนึ่งในสกอตแลนด์ ภรรยาของเขาไม่อยากให้เขาเดินทางไปไกล แต่สัญชาตญาณของคุณชินบอกว่า ‘เขาควรไป’ และเขาต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นเดือน
องค์กรนั้นอยู่บนภูเขา เมื่อเขาไปถึง เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนญาติสนิท ได้รับการ ‘สวมกอดด้วยความรัก’ ตลอดเวลา ตลอดทั้งวัน ซึ่งไม่ใช่ธรรมเนียมปกติของชาวญี่ปุ่น เขาคิดว่าการสวมกอดเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานความรักระหว่างบุคคล
จากการส่งความรักให้ตัวเอง ในตอนนี้เขาได้รับ ‘พลังงานความรัก’ จากภายนอกด้วย
เมื่อเขากลับมา ก็เป็นเวลาใกล้จะต้องสแกนอีกครั้งพอดี ผลออกมาพบว่า
‘มะเร็งหายไปทั้งหมด’
จากก่อนหน้านี้ที่อัตราการลดลงของมะเร็งเป็นไปอย่างช้าๆ แต่พอไปสกอตแลนด์กลับมา มะเร็งหายไปในอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างน่าประหลาดใจ
เขาให้เครดิตว่าการไปสกอตแลนด์ว่าเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย
และสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นที่ทำให้หายขาด เขาบอกว่าคือ ‘ความรัก’ ที่เขาได้รับ
ตั้งแต่ปี ๑๙๘๘ เขาก็หายขาดจาก renal cell CA และอุทิศตัวเพื่อช่วยผู้ป่วยมะเร็ง ใช้เวลาว่างเล่นเซลโลและมีความสุขกับหลานๆ.
ที่มา : หนังสือ Radical Remission : Surviving Cancer Against All Odds
โฆษณา