20 ก.ค. 2019 เวลา 13:09 • ปรัชญา
เรื้องสั้น : เสื้อกันฝนใต้เบาะของชายที่เปียกปอน
ผมเผลอร้องโอย เพราะนมร้อนที่กำลังเดือดอยู่ในพิชเชอร์ ล้นออกมาลวกมือผมเข้า ลูกค้าทั้งร้านจึงหันมามองที่เคาน์เตอร์กันเป็นตาเดียว
“ขอโทษครับ” ผมกล่าว รีบวางพิชเชอร์ ปิดก้านสตรีมลมร้อน แล้วหันไปจุ่มมือลงในน้ำก๊อกที่อ่างด้านหลัง
“พี่เคน เหมอใจลอยเชียว เป็นไรอ่ะพี่” พลอย น้องพนักงานรับออร์เดอร์ เดินมาถามผม
“นั่นพี่หนิงใช่มั้ย” เธอถามย้ำ
“ยุ่งน่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ผมเอาน้ำแข็งมาประคบเพื่อลดความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ปลายนิ้ว
แต่ที่เจ็บปวดกว่ากลับไม่ใช่ที่ปลายนิ้วหรอก แต่มันเป็นที่ “หัวใจ”
“เคน เราเลิกกันเถอะ”
เธอบอกกับผมขณะที่กำลังยืนดูผมนั่งตัวเปียกปอนกลางสายฝน เพื่อซ่อมมอเตอร์ไซค์ที่ดับเอาดื้อๆ หลังขี่ผ่านน้ำที่ท่วมขังตรงแยกพงษ์เพชรมาได้หน่อยเดียว
ผมนิ่งอึ้งอยู่พักนึง ก่อนหันไปมองเธอที่ยืนกางร่มสีชมพูคันที่ผมซื้อให้ตอนติดฝนที่ตลาดนัดอาทิตย์ก่อน
ตอนนี้เธอกำลังยืนร้องไห้ ผมไม่รู้ว่าผมหรือเธอกันแน่ ที่ตอนนี้เปียกปอนกว่ากัน
“รับอะไรดีครับ” ผมเอ่ยโดยไม่ได้มองหน้าลูกค้า ขณะกำลังง่วนกับการดริปกาแฟให้ลูกค้าคนก่อนหน้า
“อัฟโฟกาโต้ ขอไอครีมเป็นบัตเตอร์วนิลาค่ะ” เธอกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
ผมเงยหน้าขึ้นมองเพราะเป็นเสียงที่คุ้น ใช่ เป็นเสียงของเธอจริงๆ เสียงที่คุ้นเคย แต่ไม่ได้ยินมันมานานกว่าสามปีแล้ว
“หนิง” ผมเผลอเรียกชื่อเธอขึ้นเบาๆ
เธอรับใบสั่งสินค้า แล้วรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะติดกระจกบานใหญ่ ถอดแว่นกันแดดออก แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความสับสนและความรู้สึกเหมือนโดนสอยหมัดเข้าที่ปลายคางแบบจังๆ อัดเข้ามาในหัว ความร้าวรานในคืนนั้นท่ามกลางสายฝนวนกลับมากระหน่ำท่วมในหัวใจผมอีกครั้ง
“หนิงขอโทษ แต่หวังว่าเคนจะเข้าใจ” เธอหุบร่ม เดินร้องไห้ไปขึ้นรถเมล์ป้ายใกล้ๆ
ส่วนผมเดินจูงมอเตอร์ไซค์ลุยน้ำตาไปอีกหลายกิโลกว่าจะถึงร้านซ่อม แต่ความรักและฝันที่หวังในตอนนั้น มันจบลงใต้ร่มสีชมพูเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ไปแล้ว
แล้วเราก็ไม่เคยได้เจอหน้า พูดคุย หรือติดต่ออะไรกันอีกเลย
จนมาเจอ อัฟโฟกาโต้ บัตเตอร์วนิลา เมื่อสักครู่นี่เอง
ผมแอบมองเป็นระยะ ชงกาแฟไปด้วย ชำเลืองดูเธอไปด้วย แกล้งเดินไปเดินมาหลังเคาน์เตอร์ให้ดูยุ่งๆ เผื่อว่าเธอหันมาดูจะได้ไม่ผิดสังเกตุ แต่ก็ปล่าวเลย เธอไม่แม้แต่ใช้หางตาจะมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ
ราวสิบนาที มีผู้ชายหน้าตาดี ใส่เสื้อนอกดูแพงระยับ รองเท้าหนังทรงยาวขัดมันอย่างดี กำลังเดินตรงไปที่โต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ทั้งสองทักทายกัน ดูสนิทสนมเกินกว่าเพื่อน ผมมั่นใจว่าทั้งสองคงไม่ได้มาคุยธุระแน่
สักพักทั้งสองก็ลุกเดินออกไปด้วยกัน เขาคนนั้นรีบรุดไปเปิดประตูร้าน รอให้เธอย่างกรายออกไปราวกับคุณหนูที่ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งสองเดินไปที่รถหรูที่จอดอยู่ด้านนอก เขาเปิดประตูรถให้เธอเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ทำโดยอัตโนมัติ
ใช่ เปิดประตู...
“เจ็บอ่ะ เคนทำไมไม่เปิดประตูให้หนิงอ่ะ นี่หนีบมือเลย คนบ้า ไม่มีน้ำใจ” หนิงบ่นอุบ แถมน้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวด นิ้วมือบวมเพราะถูกหนีบเข้าอย่างจัง
“หนิง ทำไมไม่ดูหล่ะ ใครจะคอยเปิดประตูให้ตลอดคร้าบ คุณนายหนิง” ผมทำเสียงหยอกล้อ แต่หนิงไม่ตลกด้วย เธอยังคงบีบนิ้วที่ปวดแน่น
“หนิง เคนขอโทษนะ พูดล้อเล่นเฉยๆ วันหลังจะคอยระวังละกัน แต่หนิงก็ต้องดูด้วยสิ ไหนเอานิ้วมาซิ ขอดูหน่อย” ผมเอื้อมจะไปคว้ามือเธอ
แต่เธอสะบัดมือผมออก แล้วนั่งน้ำตาคลอ
ตอนนี้มีคนคอยเปิดประตูให้เธอแล้วจริงๆ แล้วดูท่าจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวผมด้วยละก็ ช่างต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
ผมเม่อมองรถวิ่งออกจากลานจอดรถไป แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ มันยังคงเป็นภาพหยาดน้ำตาใต้ร่มสีชมพูในวันฝนกระหน่ำ
ผมเดินไปหลังร้าน รีบหลบเข้าห้องน้ำพนักงาน แล้วส่องกระจกดูหน้าตัวเองในตอนนี้
“สารรูปเหี้ยๆ แบบนี้ไง เค้าถึงทิ้งมึงไป ไอ้เคน” เสียงในหัวผมบอกตัวเองแบบนี้ซ้ำๆ
“ชีวิตอินดี้ บาริสต้าชิลๆ กับกลิ่นกาแฟที่มึงชื่นชอบนักหนา กับรายได้แค่พอใช้ เป็นมึง มึงจะทนมั้ย” เสียงนั่นยังหวดกระหน่ำแส้แห่งความเจ็บปวดใส่หัวใจผมอย่างไม่ยั้งมือ
“เขาเลือกสิ่งที่ถูกแล้ว เหลือแค่มึงนั่นหล่ะ ว่าจะเอาไงต่อ” ตอนนี้เสียงในหัวนั่นเบาลง ราวปลอบประโลม แต่คล้ายเอาน้ำเกลือราดใส่แผลที่แตกปริ มันค่อยๆ ปวดแสบอย่างเหลือคณา
ผมได้แต่ปาดน้ำตา และร้องไห้ให้เบาที่สุด ผมทำได้เท่านี้เอง
.
.
.
“ เฮ้ย เคน มึงอยู่ในห้องน้ำเหรอ” เสียงไอ้บาสเพื่อนสนิทผม บาริสต้าอีกคนของร้าน เรียกอยู่ด้านนอก
“เอ่อ ขอเวลากูแปปนึง กูขอ”
“อย่านานนักนะมึง ลูกค้าเพียบเลย เดี๋ยวผู้จัดการมา มึงจะลำบาก” เสียงฝีเท้าเดินจากไป
ผมยังคงหยุดร้องไม่ได้ ยิ่งได้เห็นหนิงในวันนี้แล้ว เธอแทบไม่เห็นผมอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เธอคงลืมผมได้แล้วจริงๆ
ในขณะที่เกือบสามปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยลืมเธอได้ซักคืนเดียว
.
.
.
“พี่เคน ยังอยู่ในห้องน้ำอีกเหรอ” เสียงพลอยดังขึ้นแทรกความเงียบขึ้นมา
“ออกมาได้แล้วพี่ หนูอยากใช้ห้องน้ำ”
ผมรีบเช็ดหน้า ตายังแดงก่ำ แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา
พลอยรีบสวนเข้ามา แล้วดึงตัวผมออกไป
“พี่เคนทำตัวแย่ว่ะ คนอื่นเค้าลำบากนะพี่ เป็นผู้ใหญ่ให้สมกับอายุหน่อย” เธอทำเสียงแข็ง ก่อนปิดประตูใส่หน้าผมปังใหญ่
เป็นวันโคตรซวยของผมจริงๆ
ผ่านไปหลายเดือน
ผมดีขึ้นมาก จะบอกว่าจากอาการอกหักคงไม่ได้ เพราะที่จริงความจะบอกว่าตาสว่างน่าจะเหมาะกว่า เหตุการณ์วันนั้นทำให้รู้ว่า ผมเสียเวลากับความรักครั้งเก่าไปมากจริงๆ มากจนลืมดูว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
“เคน วันนี้มึงรับออเดอร์กับช่วยคิดเงินทีนะ กูชงเอง วันนี้พลอยลางานวันนึง”
“อ้าว ลาไม่เห็นบอกกันเลย” ผมบ่น
“มึงเคยสนใจด้วยเหรอว่ะ ดูบอร์ดพนักงานบ้างรึเปล่าเนี่ย” บาสสวนขึ้นมาทันควัน
ผมหันไปดูบนบอร์ดชานอ้อย ช่องวันนี้เขียนไว้ว่า
“ลาวันนึงค่ะ ขอโทษพี่ๆ ด้วยนะ ^_^”
สมเป็นพลอยจริงๆ ขี้เกรงอกเกรงใจทุกคนเสมอ มาคนแรก กลับเกือบสุดท้าย ผมปิดร้านคนสุดท้าย พลอยก็กลับก่อนหน้าไม่กี่นาทีเสมอ
“บาส แล้วพลอยมันลาไปไหน มึงรู้ม่ะ”
“เสือกขึ้นมาเลยนะมึง สนใจด้วยเหรอว่ามันจะไปไหน”
“เออ มันก็น้องนี่นา เผื่อมีปัญหาอะไร จะได้ช่วยได้อะไรบ้าง” ผมต้มน้ำร้อนตั้งไว้ที่ 95 องศา
“มึงเอาปัญหามึงให้รอดก่อนมั้ยไอ้เคน แล้วค่อยไปคิดช่วยคนอื่น เชื่อกู” ไอ้บาสส่ายหน้าเบาๆ
ผมได้แต่ก้มมองไอน้ำจากกา ค่อยๆ ลอยเอื่อยแล้วจางหายไปในมวลอากาศเย็นที่ผลิตจากเครื่องปรับอากาศขนาดยักษ์ในร้าน
อากาศเย็นสบายสำหรับลูกค้า แต่ผมเหงื่อจากดวงตาไหลซึม
“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายลูกค้าเหมือนเคย ขณะยังก้มหน้าเคาะผงกาแฟจากเครื่องบด
“เคน” เสียงเธอดังขึ้นเบาๆ
ผมสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง
หนิงอยู่ในชุดเดรสสีขาว ตัดกับริมฝีปากสีแดงเลือดนกที่กำลังขยับขึ้นลง แต่ผมหูอื้อจนไม่ได้ยินอะไร
เธอหยิบซองสีชมพูออกจากกระเป๋าถือลายคล้ายอักษรรูปตัวซีคล้องกันไปมา ผมจำได้แค่นั้น หลังจากนั้นผมแทบจำอะไรไม่ได้อีกเลย
ผมคล้ายเหมือนถูกลบความทรงจำด้วยลำแสงสีแดงจากแท่งโลหะสีเงินยาวอย่างในหนังที่เคยดู แต่ที่ผมเห็นคือแสงสีแดงที่สะท้อนจากลิปติกราคาแพง มันลบความทรงจำของผมได้เกลี้ยงเกลามาก หลงเหลือไว้แค่ความเจ็บปวด ไม่น่าเชื่อจริงๆ
เกือบเลิกงานแล้ว ฝนกระหน่ำอยู่ด้านนอก ผมทิ้งซองสีชมพูนั่นไว้ใต้เคาท์เตอร์ ฝากบาสปิดร้าน แล้วเดินออกไปท่ามกลางสายฝน ฝนนี่น่าจะเป็นอะตอมไฮโดรเจนรวมกับออกซิเจนอะตอมเดิมที่ผมสัมผัสในวันนั้น วันที่เธอยังยืนใต้ร่มสีชมพู ส่วนผมนั่งจุ่มอยู่ในน้ำตารอการระบาย
ผมทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ร้าน เดินตากฝนให้กลบรอยน้ำตาไปเรื่อยๆ คิดว่าคงช่วยล้างความเศร้าที่หมักหมมอยู่ในใจผมออกไปได้บ้าง ผมเดินอยู่อย่างนั้น ผู้คนต่างเดินหลบหลีกลี้ไกลจากผม พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นคนบ้า เพราะเดินตากฝนจนเปียกปอนในท่าเดินคล้ายคนไร้วิญญาณ ผมหยุดยืนตากฝนอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนน ข้างๆ มีร่างในความทรงจำของเธอยืนร้องไห้ใต้ร่มสีชมพูคันเก่าที่เริ่มขาดวิ่น ผมจึงยืนร้องไห้ข้างๆ เป็นเพื่อนเธอ
ผมแค่กำลังพยายามนึก ว่าประโยคสุดท้ายที่หนิงพูดกับผมคืออะไร จนกระทั่งกลับถึงห้องพัก และเผลอหลับไปทั้งที่ตัวยังเปียกชื้น แต่ผมก็ยังคงนึกไม่ออก
“บาส วันนี้พลอยยังไม่มาอีกเหรอ ยังไม่ได้ยินเสียงงุ้งงิ้งกวนประสาทเลยวันนี้” ผมถามบาส หลังหันไปเห็นเครื่องคิดเงินที่ว่างเปล่า
“ไอ้เคน นี่มึงโง่ใช่ม่ะ กูถามจริงๆ” บาสหันมามองหน้าผม สายตาดูจริงจังแบบประหลาด
“อะไร เป็นอะไรของมึง อยู่ดีๆ มาขึ้นเสียงกับกูทำไมว่ะ”
“วันนี้พลอยมันลา” มันสะบัดหน้าหนี
“อ่อ ก็แค่นั้น ลาก็ลาสิว่ะ”ผสมส่งเสียงกึ่งสบถ
“มึงจะไม่ถามแล้วเหรอ ว่ามันลาไปไหน ไม่เสือกแล้วงั้น” บาสยังทำเสียงยียวน
“มึงก็บอกมาเลยม่ะ กวนประสาทกูจัง”
“มึงก็เป็นซะแบบนี้ เสียแรงที่พลอยชอบมึงจริงๆ” บาสพูดแล้วเดินจากไป
ผมอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็ตามบาสไปหลังร้าน
“บาส มึงเอาอะไรมาพูด” ผมรีบคว้าแขนมันไว้
“เคน ที่พลอยมันลาวันนี้เพราะมันป่วย มันวิ่งตามมึงตากฝนไปตลอดทาง มึงเดินไปถึงไหน พลอยมันก็ตามมึงไปตลอดทางนั่นหล่ะ แล้วมึงรู้อะไรมั้ย” บาสหน้าแดงจัด
“อีกสองเดือน มันจะลาออกแล้ว พลอยมันจะไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ นี่ก็ดันมาป่วยอีก ไม่รู้จะหายทันไปทำเรื่องเดินทางหรือเปล่า ทั้งหมดนี่เพราะมึงคนเดียวเลย” ไอ้บาสน้ำตาคลอ
“มึงสนแต่ตัวมึง เคยดูคนรอบๆ ข้างตัวมึงบ้างไหม ไอ้เหี้ยเคน”
ผมจุกขึ้นจนพูดไม่ออก เพราะไอ้บาสเพื่อนสนิทผมไม่เคยเป็นแบบนี้
“พลอยมันก็เหมือนน้องกู มันชอบมึงมาก ชอบมาตลอดหลายปี มึงเคยสังเกตุมั้ย”
“มึงคิดว่ามันมาแต่เช้า กลับเกือบพร้อมมึงเพราะอะไรเหรอ เวลามึงแดกเหล้าเมาเละตอนนึกถึงแฟนเก่ามึง ใครคอยเช็ดอ๊วกให้มึงว่ะ ใครพามึงไปส่งบ้านว่ะ แล้วใครคอยอยู่ข้างๆ มึงเวลามึงร้องไห้ให้กับความรักห่วยๆ ของมึงว่ะ” ไอ้บาสดึงคอเสื้อผมไปไกล จนหน้าจะชนกัน
“ถ้ามึงคิดอะไรไม่ได้ ก็ไปขอบคุณมันซะ ที่มันสู้ดูแลมึงห่างๆ มาหลายปี แล้วขอโทษที่มึงมันห่วย และไม่เคยรู้เหี้ยอะไรเลยด้วย” บาสปล่อยคอเสื้อแล้วผลักผมที่อก
ผมสับสนถึงขีดสุด ทั้งตกใจ ทั้งงุนงง
ผมยืนนิ่ง สมองประมวลคำพูดของเพื่อนรักที่เผยความจริงที่ผมแกล้งมองข้ามมาตลอด
พลอยอยู่ข้างผมเสมอจริงๆ ตอนฉลองวันเกิดผมหลังเลิกงาน เธอเป็นคนถือเค้กก้อนเล็กฝ่าความมืดมาทุกปี ตอนผมฟูมฟายหลังกระดกเหล้าไปหลายแก้ว พลอยนั่งฟังผมพร่ำเพ้อเสมอ ตอนผมป่วยนอนพักอยู่บ้าน มีข้าวต้มมาแขวนที่หน้าประตูพร้อมข้อความในมือถือส่งตามมาทุกครั้ง
“หายไวๆ นะพี่ ดูแลตัวเองบ้าง”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรดีใจที่รู้ว่ามีคนรักผมขนาดไหนหรือควรเสียใจที่ผมทิ้งขว้างละเลยความรักที่มีคนมอบให้ผมมาตลอดกันแน่ดี
แต่ตอนนี้ผมร้องไห้
“บาส กูขอโทษ กูฝากร้านที”
ผมหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ คว้าหมวกกันน๊อค แล้วรีบวิ่งออกจากร้าน
“มึงจะไปไหน ถ้ามึงจะไปหาพลอย มึงรีบไปเลย เดี๋ยวกูดูร้านเอง” เสียงบาสตะโกนตามหลังมาไวๆ
ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว หน้าฝนก็เป็นฤดูที่ฝนต้องตก เป็นเรื่องธรรมดา ผมเปิดเบาะรถขึ้น หยิบเสื้อกันฝนสีชมพูขึ้นมาสวม
“พกเสื้อกันฝนบ้างสิพี่ ขี่รถตากฝนอยู่ได้ บ้ารึเปล่า” คำพูดที่พลอยบอกขณะยื่นเสื้อกันฝนตัวนี้ให้ผม แต่ผมกลับไม่เคยใส่ เพราะมันสีชมพูดูหวานเกินไป หรืออาจเพราะมันสีเหมือนร่มคันนั้นก็ไม่แน่ใจ
แต่ตอนนี้ผมสวมมัน แล้วขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าออกไปข้างหน้า เพื่อเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมคงไม่ต้องเสียใจอีกแล้ว เพราะภายใต้เสื้อกันฝนสีชมพูตัวนี้ ผมไม่ต้องเปียกปอนด้วยน้ำตาแน่นอน
อาจจะเครื่องดับเพราะน้ำรอการระบายบ้าง แต่ผมว่าผมรอได้นะ
วิ่งไปซื้อเสื้อกันฝนในร้านชำข้างทางเพื่อประกอบฉาก by เพจเรื่องสั้นๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา