24 ส.ค. 2019 เวลา 04:13 • ความคิดเห็น
อารมณ์ขันกับสังคมที่หม่นหมอง
อารมณ์ขันในความเศร้าหมอง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองอยู่จุดที่ไม่มั่นคง ผู้คนเริ่มฆ่าตัวตายกันไป
เพราะหลายปัจจัยที่มันรุมเร้า และ คิดสั้นฆ่าตัวตายไปในที่สุด
ดังนั้นจะมีวิธีไหนไหมที่เราจะสามารถอยู่ในสังคมที่มืดบอดดูเหมือนไม่มีแสงสว่างได้
เราก็จุดไฟดวงเล็กๆในใจที่เรียกว่า
“อารมณ์ขัน”
ผมจะยกตัวอย่างบุคคลที่พวกเราน่าจะรู้จักกันดีและเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์
ในการพูด “ เดี่ยว ” ไมค์โครโฟน คนนั้นก็คือ คุณ “โน้ต” อุดม แต้พานิช
ถ้าคุณเป็นคนที่ติดตามการพูดเดี่ยวไมค์โครโฟนของเขาสิ่งนึงที่เราจะเห็นได้ชัดคือ
เนื้อเรื่องของเขาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่มีความทุกข์เป็นหลักแล้วเล่าออกมาให้ตลก
โดยการ พูดแบบ บุคคลที่สาม, การประชด และ การดูถูกตัวเอง เป็นส่วนใหญ่
การมองแบบ “ บุคคลที่สาม ” มันคือสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างนึงที่เราสามารถนำไปใช้ให้มีประโยชน์ได้เช่น การแก้ปัญหาของตัวเอง เพราะการที่เรากลับมามองปัญหาของ
ตัวเอง เสมือนเราเป็นคนนอก เราจะเห็นปัญหาที่ชัดเจนกว่า คนที่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหานั้น เพราะ อาจจะมีการนำ ความรู้สึก ความทุกข์ และ ปัจจัยอื่นๆ ที่มันจะทำให้การตัดสินใจในการแก้ปัญหานั้นยากขึ้น
อย่างที่ “ น้าเน็ก ” เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
ได้พูดไว้ในรายการ “ อย่าหาว่าน้าสอนว่า ”
“ คนที่โทรเข้ามาปรึกษาผมส่วนใหญ่มันยังไม่รู้ว่าปัญหาของเขามันคืออะไรเลย ”
แต่มันก็ใช้ในการทำให้บางเรื่องที่ดูเศร้ามันดูตลกได้
ลองคิดจินตนาการเล่นว่า
คุณกำลังแอบมองคนที่คุณชอบอยู่ แต่ในสายตาที่คนอื่นมองคุณคือ
“ stalker นี่หว่า ”
ซึ่งถ้าเราสามารถใช้เทคนิคบุคคลที่สามในการเล่าเรื่องได้มันจะเป็นอะไรที่ได้ผลมากๆเพราะคนฟังจะเปรียบเสมือนบุคคลที่สามอยู่แล้ว เทคนิคนี้ยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกว่าผู้พูดเป็นฝ่ายเดียวกันเหมือนกันนะ
การ “ ประชด ” เปรียบง่ายๆเหมือนการพูดที่สื่อสารตรงกันข้ามกับสิ่งที่พยายามจะสื่อจริงๆอย่างจงใจ เพราะอยากให้ตลก หรือ อยากแสดงว่าโกรธอยู่ หรือ ให้ผู้ฟังตกหลุมดักควายไว้ก็ได้เหมือนกัน
ดังนั้นการประชดเหมือนเครื่องมือสารพัดนึกในการ “ เสียดสี ”
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสังคมไหนไม่พอใจอะไรสักอย่างเขาก็จะหยิบยกเรื่องนั้นมาพูดเป็นมุขตลกขำขันกันอย่างแพร่หลาย เป็นมุขตลกในวงสนทนาได้ทั้งวันเลย
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น แม่ค้ายัดดอกไม้ หลายปีที่แล้ว พยายามยัดดอกไม้ให้ลูกค้า
และหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนทำคลิปมาล้อ มาแสดงให้เหมือนแม่ค้ากับลูกค้าคนนั้น
ซึ่งก็เป็นอะไรที่บันเทิงมากๆการจะเล่าอะไรให้ตลกนึงในวิธีก็คือการ “ ประชด ” นี้แหละ
แต่อีกสิ่งนึงที่จะทำให้เรื่องเล่าตลกมากแต่มันจะเป็น ดาบสองคม ได้นั้นก็คือการ
“ ดูถูกตัวเอง ”
เราจะเห็นเทคนิคนี้ใช้บ่อยมาก กับการ “ เหยียด ” ซึ่งถ้าดูจากสังคมง่ายๆ เราจะเห็น
เพศที่สามดูเหมือนคนที่ตลกเฮฮา ในสื่อ ทั้งๆที่จริงแล้วเขาก็คือ มนุษย์ เหมือนกันไม่ต่างจากใครๆ เขาแค่มีรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่ ชาย รัก หญิง เท่านั้นเอง
แต่สื่อดันไปตีความว่าเพศที่สามเป็นเพศที่ตลก และ มุขที่จะชอบใช้คือ
“ ไปทองหล่อ, ประตูหลัง, ผู้ชายไม่ตกถึงท้อง ฯลฯ ”
นี้ก็เป็นแค่หนึ่งในการใช้เทคนิค “ ดูถูกตัวเอง ”
แต่ก็มีการใช้ในการเล่าตลกแบบอื่นเช่น “ ดอกฟ้ากับหมาวัด ”
“ เธอช่างเปรียบเสมือนนางฟ้าสวยสดงดงาม สุภาพ ชาติตระกูลดี แล้วดูฉันสิ เกเร บ้านจน เร่ร่อน เรียนก็ไม่เรียน หน้าตาก็ขี้เหร่ จะไปรักดอกฟ้าได้ยังไง”
เล่าให้ดูเศร้าได้ แต่ถ้าจะให้ตลก
“ แล้วดูผมสิ *แล้วชี้หน้าตัวเองทำหน้าสมเพชตัวเอง* ”
มันจะตลกขึ้นมาทันที
ถ้าความคิดของคุณมีความสุขแม้ว่าจะอยู่สถานการณ์ที่เลวร้ายได้นั้นคุณก็จะอยู่ได้ในทุกๆที่ เปรียบเหมือนที่
พระอาจารย์ของ พระจิตร์ ตัณฑเสถียร ( จิตร์ จิตฺตสํวโร )
เคยกล่าวไว้ว่า
“ลูกเอยถ้าที่ที่อยู่มันสบายลูกอยู่แล้วมีความสุขเรียกว่าใช้ได้ ถ้าลูกอยู่ที่ที่ไม่มีความสุขแล้วยังสบายใจ โลกนี้จะมีที่ใดจะทำให้ลูกเป็นทุกข์ได้”
สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อคือเราสามารถมองชีวิตที่เราคิดว่าอาจจะดูเศร้าเต็มไปด้วยความทุกข์ ให้มันดูมีชีวิตชีวาได้แม้ว่ามันจะเป็นตลกร้าย แต่ถ้าคุณผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ เหตุการณ์ร้ายๆนั้นจะกลายเป็นเรื่องตลกจากความทรงจำที่คุณจะหยิบไปใช้ใน
วงสนทนากลางค่ำคืนที่สงบสุขไม่เหมือนวันวานที่รันทด
“ ทุกสิ่งอย่างนั้นมีด้านดี และเสีย เปรียบดั่ง พระจันทร์ที่มีด้านมืด และ สว่างของมัน”
-CourAge
โฆษณา