26 ส.ค. 2019 เวลา 16:18 • บันเทิง
127 Hours (2010)
การเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติ
หมายเหตุ : มีสปอยด์เนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์
26 เมษายน ปี 2003 :
Aron Ralston วิศวกรเครื่องกลชาวอเมริกันได้ใช้เวลาวันหยุดของเขาไปกับการท่องเที่ยวที่ Blue John Canyon สไตล์การเที่ยวของเขาคือ ไปคนเดียว ลุยคนเดียว เพื่อไปทำสิ่งที่รัก นั่นคือ "การปีนเขา"
เขาปีนป่ายตามส่วนต่างๆของเขาไปเรื่อยๆ จนถึงส่วนที่เป็นช่องแคบ มีหินก้อนหนึ่งอยู่ตรงนั้น...เขาคว้ามันเพื่อยึดเกาะ แต่มันดันหลุดออกมาทำให้เขาตกลงไปในช่องแคบ
เขาติดอยู่ที่นั่นไปไหนไม่ได้...หินก้อนใหญ่ตกมาทับแขนขวาของเขา
ที่นี่ห่างไกลผู้คน...
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามตะโกนสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่มีใครได้ยินคำขอของเขา
เครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่จะติดต่อหาคนช่วยเหลือ คือ "มือถือ" แต่มันตกลงไปก้นเหว
Aron รู้ว่านี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินของเขา
เมื่อพึ่งใครไม่ได้ ก็ต้องพึ่งตนเอง...
เขาพยายามดึงแขนที่ถูกหินทับออก แต่ไม่สำเร็จ
น้ำและอาหารที่เตรียมมา...ถูกใช้อย่างระมัดระวังเพื่อประทังชีวิตให้นานที่สุด
หลังผ่านไป 3 วัน เขาเริ่มมีอาการอ่อนเพลียจากการขาดน้ำและอาหาร ไม่ว่าจะทำอย่างไร...เขาก็ไม่หลุดออกจากหินก้อนนั้น
เช้าวันที่ 4 .... Aron คิดจะตัดแขนตัวเอง
แต่ปัญหาคือ เขามีเพียงมีดสั้นเล็กๆและสายรัด ซึ่งมันไม่เพียงพอต่อการตัดกระดูกของเขา
เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 5
ถึงวันนี้น้ำหมดแล้ว
แหล่งน้ำเดียวที่ดื่มได้คือ "ฉี่ของตัวเอง"
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง...ไม่งั้นก็ตายอยู่ตรงนี้
มีดสั้นถูกเฉือนลงบนแขนขวาของเขาโดยมีสายรัดช่วยห้ามเลือด กระดูกที่เคยคิดว่าจะตัดออกยังไง ก็ไม่ต้องตัดแล้ว...ใช้แรงบิดหักไปเลย!!!
เมื่อหลุดออกจากหินได้
เขาปีนขึ้นมาจากช่องแคบด้วยแขนเพียงข้างเดียว (ระยะความสูงประมาณ 20 เมตร)
จากนั้นยังต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตรเพื่อไปขอความช่วยเหลือ แต่โชคดีระหว่างทางเขาไปพบกับครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวเนเธอแลนด์
จึงได้รับความช่วยเหลือและรอดชีวิตมาได้
เป็นยังไงครับกับพล็อตหนังที่ได้อ่านไป
ลุ้นระทึกไหมครับ
แต่สิ่งที่ทุกท่านได้อ่านไปด้านบนนั้น คือเรื่องจริง
เป็นเหตุการณ์จริงของ Aron Ralston ที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อ 127 Hours
ซึ่งผมบอกได้เลยว่าแม้คุณจะรู้ข้อมูลที่ผมบรรยายไป
มันก็ไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ลดลงเลย
ผมว่าตัวหนังถ่ายทอดเหตุการณ์ออกมาได้สมจริงมาก
Aron Ralston (ตัวจริง)
นอกจากเราจะได้เห็นการต่อสู้กับวิกฤติของAronแล้ว
เรายังได้รับแรงบันดาลใจดีๆจากเขาด้วย
เรื่องของ Aronนั้น ให้บทเรียนที่สำคัญกับเราเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติว่า
"อย่าให้ปัญหาใหญ่กว่าใจเรา"
ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำเราออกจากปัญหา
ใจเราต้องใหญ่กว่ามัน
เมื่อใดใจฝ่อยอมจำนนกับปัญหา
สิ่งที่คุณจะทำคือปล่อยให้มันย่ำยีคุณ
ตราบเท่าที่ใจเริ่มใหญ่กว่าปัญหา ขั้นตอนต่อไปจึงเกิดขึ้น
ขั้นตอนที่สองคือ " ความคิด "
เมื่อคุณคิดจะไปต่อ คิดว่าต้องแก้วิกฤติครั้งนี้ให้ได้
จะนำไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือ "การลงมือทำ"
การลงมือทำคือผลลัพธ์ ของใจและความคิด
บางปัญหาลงมือทำแล้วแก้ได้ทันที
บางปัญหา ลงมือทำครั้งแรกไม่สำเร็จ...
ก็อาจผิดหวังบ้างเพราะคนส่วนใหญ่ชอบให้มันสำเร็จทันที ขอให้ปรับความคิดนี้
ปัญหาที่ถูกแปรสภาพเป็นวิกฤติมักไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นการสะสมของปัญหาจนถึงจุดที่หนักมาก
การแก้จึงอาจไม่สำเร็จในครั้งแรก ฉะนั้นจงอย่าหยุดพยายาม
ค่อยๆกินทีละคำ แก้ปัญหาไปทีละจุดด้วยความอดทน
127 Hours (ภาพจากหนัง)
ขอยกตัวอย่างวิกฤติหนึ่งที่ผมเจอด้วยตัวเอง
ผมคือผู้ขายสินค้าบนเวบไซด์อีเบย์
อีเบย์เป็บเวบที่กฏระเบียบเยอะมาก
ในฐานะผู้ขาย คุณต้องปรับตัวตลอดเวลา
(อีเบย์ปรับนโยบายทุก 6 เดือน)
ผมทำการค้าขายมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งผมถูกปิดบัญชีเพพาลอย่างถาวร
Paypal (เพพาล) คือ เวบที่ใช้รับส่งเงินในการซื้อขายบนอีเบย์ เป็นช่องทางที่ผู้ซื้อนิยมที่สุด
ดังนั้นหากคุณโดนเพพาลปิดบัญชีถาวร
ร้านในอีเบย์ของคุณก็ขายไม่ได้ เพราะลูกค้าก็ไม่มีช่องทางชำระเงินที่ปลอดภัยสำหรับเขา
ผมโดนเพพาลปิดบัญชีด้วยเหตุผลที่ผมทำผิดนโยบายของเพพาล เป็นนโยบายที่เข้มงวดมาก (พอๆกับอีเบย์)
ผมขายสิ่งที่กฏหมายอเมริกาห้ามขาย (แต่ถูกกฏหมายในไทย) นั่นคือ แชมพูขจัดรังแคยี่ห้อหนึ่ง
ในอเมริกาแชมพูยี่ห้อนี้ คนจะใช้ได้ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ แต่ในเมืองไทยคุณสามารถซื้อได้ทั่วไป
ผมขายสินค้านี้ด้วยความไม่รู้ว่ามันผิดกฎหมายของอเมริกา(ในบางรัฐ)
เบื้องต้นผมพยายามโทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่อีเบย์
เจ้าหน้าที่อีเบย์ให้คำแนะนำว่าผมไม่สามารถสมัครเพพาลใหม่มาผูกกับอีเบย์เดิมได้
และผมควรติดต่อเพพาลที่ปิดบัญชีของผมโดยตรง
ผมจึงติดต่อไปยังสำนักงานของเพพาลและได้รับคำตอบว่าช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ผมยังติดต่อหาอาจารย์สอนอีเบย์อีกหลายท่านเพื่อขอคำแนะนำ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "สมัครอีเบย์และเพพาลใหม่ทั้งหมดดีกว่า แก้อะไรไม่ได้" ซึ่งการสมัครใหม่ ผมต้องหานอมินีมาสมัครแทน เพราะตัวผมนั้นโดนแบนถาวรไปแล้ว
ช่วงนั้นเพพาลกวาดล้างผู้ขายอย่างหนัก มีคนโดนแบบผมจำนวนมาก (ปล่อยให้ขายไปก่อนอยู่นาน แล้วแบนพร้อมกันทีเดียว) เป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันมาก และไม่มีใครแก้ได
ผมส่งเมลอุทธรณ์ไปสำนักงานใหญ่ของเพพาลที่อเมริกาแต่ก็ไม่ผ่าน
(ทุกคนที่โดนปิดบัญชีทำถึงขั้นตอนนี้ แล้วก็เลิก)
แต่ผมมีความเชื่อว่าผมสามารถกู้บัญชีกลับมาได้
ผมกลับไปอ่านข้อความอุทธรณ์ของผมอีกครั้งว่าผิดพลาดตรงไหน แล้วตัดสินใจส่งเมลไปอุทธรณ์อีกครั้ง ผลออกมาเหมือนเดิม....ไม่ผ่าน
จากการคิดอย่างหนัก...อยู่ดีๆผมก็เกิดความคิดว่า
ในเมื่อคนไทยหาวิธีแก้ปัญหาให้เราไม่ได้
แต่คนในโลกนี้คนอื่นที่ใช้เพพาลแล้วเจอปัญหาเดียวกับผมแล้วแก้ได้ก็น่าจะมี
ผมเลยลองค้นตามเวบบอร์ดต่างประเทศว่ามีใครถูกเพพาลปิดบัญชีถาวรแล้วแก้ได้บ้าง
ปรากฎว่าไปเจอคนนึง...แชร์เอาไว้
แม้เขาถูกปิดบัญชีด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่เหมือนกับผม
แต่นั่นก็ยืนยันว่ามีคนเคยแก้ได้
ผมจึงเขียนเมลอีกครั้ง เป็นการอุทธรณ์ครั้งที่ 3 โดยครั้งนี้ผมอธิบายละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
บอกถึงความตั้งใจของผม และสิ่งที่ผมซื่อสัตย์มาตลอดระยะเวลาในการขายสินค้าของผม รวมถึงยอมรับในความผิด ผมเคยอ้างว่าไม่รู้ว่าสินค้านี้ในอเมริกาห้ามขาย แต่เพพาลไม่รับฟัง
คราวนี้ผมอธิบายว่าสินค้าที่ผมขายนี้ในบริบทของประเทศไทยมันสามารถหาซื้อได้ทั่วไป
พร้อมส่งหลักฐานคือรูปขวดแชมพูนี้บนชั้นวางสินค้าจากห้างแห่งหนึ่งไปด้วย
หลังรอคอยมานาน เพพาลก็ปลดการระงับบัญชีผม
ผมสามารถกลับมาใช้เพพาลได้อีกครั้ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนทำอีเบย์หลายคนบอกกับผมว่า
"นี่อาจเป็นครั้งแรกที่คนไทยแก้การถูกปิดบัญชีถาวรของเพพาลได้"
สิ่งที่ทำให้ผมผ่านวิกฤติครั้งนี้มาได้
เพราะหลัก 3 ประการอย่างที่ผมถอดมาจากหนังเรื่อง 127 Hours
1. ใจต้องใหญ่กว่าปัญหาแล้วความคิดที่จะแก้ปัญหาจึงเกิด
2. เมื่อคิดแล้ว...ต้องลงมือทำ
3. การแก้ปัญหาอาจไม่สำเร็จทันที จงทำต่อไปด้วยความพยายาม ค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละส่วน
ผมเชื่อว่า "ปัญหาแก้ได้ วิกฤติก็คลี่คลายได้"
แต่ต้องเริ่มจากการข้ามภูเขาลูกหนึ่งให้ได้เสียก่อน
ภูเขาลูกนี้ขึ้นชื่อว่าปีนยากที่สุดในโลก
" ภูเขาในใจเราเอง"
เครดิต : รูปภาพAron ตัวจริงจาก :wikipedia
โฆษณา