22 ก.ย. 2019 เวลา 23:30 • กีฬา
มะ..มะ..มะ..ม้วนเดียวจบ ?
1.ก่อนเกมทั้งสองทีมแพ้มาด้วยกันทั้งคู่ในเกม UCL เมื่อกลางสัปดาห์ และจนถึงนัดที่เจอกันเมื่อคืนนี้เท่ากับว่าทั้งสองทีมมีเวลาพักเท่ากันกัน แต่ลิเวอร์พูลจะเสียเปรียบตรงที่ต้องออกไปเยือนทั้งสองนัด ส่วนเชลซีได้เล่นในบ้านทั้งสองนัด
คล็อปป์จัดเต็มในแผน 4-3-3 เหมือนเดิม โดยที่เปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียวจากกลางสัปดาห์คือให้มิลเนอร์กลับไปนั่งเป็นตัวสำรองและให้ไวจ์นัลดุมลงตัวจริงในตำแหน่งมิดฟิลด์ นอกนั้นใช้ชุดเดิม
คล็อปป์ติวลูกทีมแบบเข้มข้นก่อนลงสนาม
ส่วนเชลซีได้กองเต้และเมสัน เมาท์กลับมาทันเวลาพอดี มาในระบบ 4-3-3 เหมือนกัน ใช้แทมมี่กองหน้าดาวรุ่งฟอร์มร้อนแรงยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
แต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลหวั่นๆนั้นไม่ใช่แทมมี่ แต่เป็นกองหน้าอย่างโอลิวิเย่ ชิรูด์ มากกว่าเพราะว่าคนนี้เจอหงส์ทีไรยิงประจำ
2.เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลใช้การต่อบอลน้อยจังหวะและเข้าโจมตีไว โดยเป้าหมายเป็นสามประสานเหมือนเดิม แต่ส่วนมากถ้าตั้งเกมจากแดนหลัง เป้าหมายจะอยู่ที่ซาลาห์และมาเน่ แต่เมื่อไหร่ที่ตัดบอลได้แล้วสวนกลับก็จะขึ้นทางมาเน่เสียเป็นส่วนใหญ่
เกมนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือว่าทำการบ้านมาอย่างดีมากๆในการแก้เกม เพราะหากใครจำได้ มิดฟิลด์ของลิเวอร์พูลเคยแพ้มิดฟิลด์ชุดนี้ของเชลซีแบบราบคาบมาแล้วในเกมยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ เมื่อเดือนที่แล้ว
ฟรีคิดของเทรนท์ช่วยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0
3.จังหวะขึ้นนำของลิเวอร์พูล มาจากที่ฟาบินโญ่ที่เลี้ยงแหวกคู่มิดฟิล์ของเชลซีส่งต่อให้มาเน่เรียกฟาล์วระยะอันตรายจากหน้ากรอบเขตโทษของเชลซี
ก่อนหน้าที่จะได้ประตูที่ 2 นั้น เทรนท์หลังจากที่ยิงประตูขึ้นนำไปแล้ว ถือว่ามีส่วนสำคัญกับจังหวะยืนไลน์ของของหลังเพื่อดักจังหวะล้ำหน้ามากๆ เพราะช๊อตแรกเขายืนห้อยอยู่คนเดียวเลยทำให้อับราฮัมหลุดเข้าไปยิงแบบไม่ล้ำหน้า แต่ยังดีที่อาเดรียนช่วยเอาไว้ได้
ส่วนครั้งที่สองเขายืนไลน์ได้สูงกว่าเมาท์ เลยกลายเป็นจุดที่ทำให้ VAR ตัดสินไม่ให้เชลซีได้ลูกตีเสมอ
ล้ำหน้าชัดเจน
จบครึ่งด้วยสกอร์ 2-0 ที่ต้องบอกเลยว่ามิดฟิลด์ของลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซีไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์
แต่นั่นก็แค่เฉพาะในครึ่งแรก
4.ครึ่งหลังเหมือนหนังคนละม้วน ลิเวอร์พูลที่ได้เปรียบเต็มๆ กลับเป็นรองเชลซีแบบหน้าตาเฉย ทั้งๆที่เริ่มเกมมาได้ 2-3 นาทีเกือบจะได้ประตูที่ 3 เสียด้วยซ้ำ แต่กลับโดนเชลซีของแฟร๊งค์ แลมพาร์ด วิ่งเข้าบดขยี้แบบไม่กลัวโดนสวนกลับทะลวงเหมือนวัตฟอร์ด
เมาท์พลาดจังหวะสำคัญสุดๆในเกม
ปัญหาคือลิเวอร์พูลขึ้นเกมทางฝั่งซาลาห์มากจนเกินไป ทำให้จังหวะสวนกลับไม่อันตรายเท่าที่ควร บวกกับซาลาห์ที่มักจะพาบอลวิ่งออกริมเส้นได้อย่างเดียวเท่านั้น ตัดเข้าในคือเสียบอลอย่างเดียว
5.ลิเวอร์พูลเริ่มแสดงอาการล้าออกมาให้ได้เห็น โดยเฉพาะฟาบินโญ่ที่ท้ายเกมดูจะเนือยๆไปหน่อย เพราะเจ้าตัวกรำศึกหนักมาแทบจะไม่ได้หยุดได้หย่อน
ถ้าจะบอกว่าโชคในเกมนี้เป็นของลิเวอร์พูลก็อาจจะใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าเชลซีทำได้ไม่ดีก็พูดถูกอีก เพราะจังหวะเหน่งๆของเชลซีในเกมนี้มีถึง 4 ครั้งด้วยกัน ทั้งอับราฮัม,บาสชูอายี่,เมาท์ และถ้าหากรวมจังหวะล้ำหน้าของอลอนโซ่ด้วยก็เท่ากับว่าพวกเขาสร้างโอกาสเหน่งๆได้ตลอด แต่ก็ไม่ได้สักประตูจากจังหวะเหล่านี้
อาเดรียนเซฟประตูให้ลิเวอร์พูลจากการดวล 1-1 กับแทมมี
สุดท้าย..ต้องบอกเลยว่าในยามที่ลิเวอร์พูลเหนื่อยล้า
.
.
- VAR ก็มาได้ถูกจังหวะ
- เชลซีพลาดจังหวะสำคัญกันไปเอง
.
.
.
.
.
และที่สำคัญ...ฟุตบอลมันต้องมีเรื่องโชคเข้ามาเกี่ยวกันบ้างแหละ...เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยกล่าวไว้
FT Chelsea 1-2 Liverpool
#ปลายสตั๊ดสีแดง
โฆษณา