27 ก.ย. 2019 เวลา 05:20 • ข่าว
คน Gen Y กำลังจะได้รับบทเรียน
ถ้าพูดถึงคนยุคเจนวาย ตามหลักการแล้วคือคนที่เกิดในช่วง 1981 - 1995
เป็นยุคที่เพิ่งผ่านพ้นคน Gen X มาหมาดๆ
ลักษณะนิสัยของคนแต่ละยุคก็จะต่างกันไป
เช่น
คนยุค Baby Boomer หรือยุคหลังสงครามโลก จะขยันทำงานมาก เขาจะทำงานชนิด 24/7 กันเลยทีเดียว
เขาไม่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนอะไรทั้งนั้น
ยุคถัดมาคือคนยุค Gen X ยุคนี้ความสะดวกสบายเริ่มเข้ามาแล้ว คนยุคนี้จะมีลูกประมาณ 2-3 คนซะส่วนใหญ่
การทำงานจะสนใจเพียงแค่ 8x5
เป้าหมายของคนยุคนี้คือความมั่นคง
เพราะเขาเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่างต้มยำกุ้งและอื่นๆ กันมาพอสมควร
เขาหวังว่าช่วงวัยทำงานก็แค่ทำงานเก็บเงิน แล้วค่อยไปใช้ชีวิตตอน 60
มาถึงยุค Gen Y ยุคแห่งเด็กนิสัยเสีย
โควท "ทำในสิ่งที่รัก" เพิ่งจะเกิดมาในยุคนี้ คำนี้เพิ่งจะกำเนิดมาเมื่อ 30 ปีก่อนเองเท่านั้น ทำให้เด็กยุคนี้ เริ่มที่จะเอาตัวเองเป็นใหญ่
เด็กเจนวาย ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนต้มยำกุ้ง แต่ช่วงเวลากำลังเกิดต้มยำกุ้ง ตอนนั้นพวกเรากำลังเด็กอยู่มาก
จนไม่สามารถรับรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง หรืออะไรได้เลย โลกของเรามีแต่ความสนุกสนาน การวิ่งเล่นปล่อยให้ความยากลำบากเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไป
เมื่อเราโตมาสักหน่อย ในวัยมัธยม ก็เป็นช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว เราเห็นบ้านเมืองโตเอาๆ เราก็คงคิดว่า มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
คนเจนวายไม่รู้จักความลำบากที่แท้จริงอีกแล้ว
คนยุคนี้ ในวัยเรียน จะมองว่าทุกอย่างนั้นง่ายไปหมด การร่ำรวยเป็นร้อยล้าน พันล้านนั้นเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย
กว่าที่จะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างนั้น
ก็เป็นวัยที่เริ่มทำงานละ
ว่าความฝันกับความเป็นจริงนี่
ช่างห่างไกลกันหลายแกแล็คซี่เหลือเกิน
จึงเกิดปรากฏการณ์ "ฉันอยากเป็นนายตัวเอง"
และเกิดการเหยียด "คนทำงานประจำ" ขึ้น
หลายคนลงสนามแห่งธุรกิจ
เพราะมีความคิดว่า "เป็นนายตัวเองสิดี ทำงานก็น้อยกว่า ตื่นได้ตามใจ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ แถมได้เงินเยอะกว่า"
แค่เริ่มก็คิดผิดแล้ว
ในสนามเดียวกัน ถ้ามีคนที่เก่งกว่าคุณ
ขยันกว่าคุณ ทุ่มเทกว่าคุณ
มีหรือคุณจะไปชนะเขาได้
เพราะการเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องขยันกว่าตอนทำงานประจำหลายเท่า
สิ่งนี้ทำให้หลายคนเจ๊งพินาศกันเพียบ
บวกกับการเกิดมาของ Social Media
ทำให้เราเข้าถึงใครต่อใครได้ง่ายเกินไป
ในอดีต เราอาจจะเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดในซอย ในรุ่น ในชั้น ในโรงเรียน เท่านี้ก็มากพอที่จะให้ทำคนๆ นึงยืดอกและแลดูมีความสุขมากแล้ว
แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับคนอื่น บ้านเมืองอื่นใน Social
นั่นมันก็ย้อนกลับมาทำให้เราเป็นทุกข์
เรื่องหน้าที่การงาน เราอาจจะได้นั่งทำงานในห้องแอร์ แต่คนละแวกบ้านมีแต่คนทำงานใช้แรงงาน แค่นี้มันก็มากพอที่ทำให้เราภูมิใจในตัวเองอยู่บ้างแล้ว
แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเอาไปเล่าใน Social
ทำให้คนสมัยนี้วาดฝันไว้เว่อร์ เพราะมาตรฐานความสุขของเขา ถูกวางไว้สูงม๊ากกก
จากเคยอิจฉาแค่คนข้างบ้าน
มาวันนี้เราอิจฉาใครต่อใครไปทั่ว
จนเรารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
แล้วสิ่งใดที่จะทำให้เรากลับมารู้สึกดี
หรือให้ผู้อื่นยอมรับ...
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ....
"การสร้างภาพ"
ไม่มีใครรู้หรอกว่ามื้อไหนเรากินมาม่าบ้าง
ไม่มีใครรู้หรอกว่าอยู่ห้องเช่าเก่าๆ
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราโหนรถเมล์ 3 ต่อไปทำงาน
...ถ้าเราไม่โพสต์ลง Social
เราจะโพสต์ก็ต่อเมื่อ ได้กินของดี
ได้เที่ยวต่างจังหวัด
ได้ไปดูคอนเสิร์ต
หลายคนมองเข้ามา โอ้วชีวิตดี๊ดีย์
บางคนเสพติดการถูกยอมรับหนักขึ้น
อยากอวดโน่นนี่ แต่รายรับนี่ต่ำมาก
ในเมื่อห้ามตัวเองไม่ได้ ระงับความอยากได้อยากมีตัวเองไม่ได้
จึงเกิดการ "กู้ยืม" ขึ้น
ทั้งในระบบ และนอกระบบ
ระหว่างที่หนี้ยังไม่บาน เราจะยืดอกได้เยี่ยงราชา เรามีความสุข เราอวดสิ่งนั้นๆ จนกว่าเราจะหนำใจ
พอนานวันเข้า หนี้มันหืดขึ้นคอกันมาเรื่อยๆ และเป็นกันซะส่วนใหญ่ของประเทศ จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ
บางคน อายุ 20 ต้นๆ หนี้ทะลักไปล้านแล้วก็เยอะ นั่นสิมันเกิดอะไรขึ้น
ผมจะเล่าความเป็นจริงที่รับกันไม่ค่อยได้บางอย่างว่า
คน Gen y สามารถหาเงินได้น้อยกว่าคนยุค Baby Boomers ตอนที่อายุเท่ากันซะอีก(คิดตามอัตราเงินเฟ้อด้วย)
แล้วสมัยนั้น อสังหา แทบไม่มีราคา
ขยันถางหญ้าหน่อยก็เป็น Landlords ได้แล้ว
สมัยนี้ล่ะ ที่เท่าแมวดิ้นตาย ตารางเมตรละเท่าไหร่
จะมีบ้านสักหลัง ลากหนี้ยัน 30 ปี
หลังจากนี้ วิกฤติจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ข้อดี คือ ฝึกความอดทน ประหยัด
รู้จักใช้เงินอย่างฉลาดมากขึ้น ลดความสุรุ่ยสุร่าย และหล่อหลอมให้พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุม มั่นคง
และเป็นที่พึ่งพาของคนในยุคต่อไปครับ
ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ ผมจะมาคอยเตือนอันตรายให้คุณเอง
กดติดตามเราได้นะครับ ^^
Luis~
โฆษณา