1 ต.ค. 2019 เวลา 12:49 • บันเทิง
Re-post เรื่องสั้น :Alone again, Naturally
"หัวใจมีไว้เพื่อแตกสลาย"
ผมรีบออกจากออฟฟิตที่เต็มไปด้วยความอึดอัด สายตาที่เย็นชาจากคนรอบๆ โต๊ะทำงานทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ทุกสายตามองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่น่าจะอยู่ร่วมหายใจเอาออกซิเจนอะตอมเดียวกับพวกเขาเลยทีเดียว
คงเป็นเพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมแทบจะไม่ได้ทำงานเลย ไม่เข้าประชุม ไม่ได้ทำเอกสารที่ต้องส่งตั้งแต่สามวันก่อน ไม่มีแม้อารมณ์จะทำงานง่ายๆ อย่างเก็บเอกสารที่รกเต็มโต๊ะเข้าแฟ้มให้เรียบร้อย
ทุกคนต่างเอือมระอาที่ผมทำให้งานในออฟฟิตสะดุดกันไปทั้งหมด ทั้งๆ ที่สองอาทิตย์ก่อนเรายังนัดปาร์ตี้กันที่ร้านแถวทองหล่อ สนุกกันจนแทบตื่นมาทำงานกันไม่ทันแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมต้องวิ่งออกมาอาเจียนที่ห้องน้ำชั้นหนึ่งใต้ตึก เพราะความเครียดในที่ทำงานและไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสามมื้อแล้ว
นี่ผมกำลังถูกโดดเดี่ยวใช่ไหม
สามวันก่อน ผมทะเลาะกับ "มีนา" แฟนคนล่าสุดของผมอย่างรุนแรง เหตุผลคือผมไม่พอใจที่เธอดึงโทรศัพท์มือถือในมือของผมไปอย่างไร้เหตุผล มันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผมอย่างรุนแรงมาก ผมต่อว่าเธอด้วยถ้อยคำที่ร้ายกาจอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน แต่เธอกลับตอบมาสั้นๆเคล้าเสียงร้องไห้กระซิกว่า..
"โอ๊ตเคยสนใจมีนาพูดบ้างมั้ย เคยให้เวลามีนาบ้างหรือเปล่า โอ๊ตให้เวลากับไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมนั่นมากกว่ามีนามากมายหลายเท่า เคยรู้ตัวบ้างมั้ย! เราเลิกกันเหอะ มันควรจะจบตั้งนานแล้ว"
..เธอร้องไห้วิ่งเข้าห้อง เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ผมพยายามอ้อนวอนแต่ก็ไร้ผล นี่ก็วันที่สามแล้วที่ผมติดต่อเธอไม่ได้อีกเลย
หัวใจผมแตกสลายอีกครั้ง และคราวนี้มันโดดเดี่ยวเหลือประมาณ
ขณะที่ผมกำลังวักน้ำจากอ้างล้างหน้าในห้องน้ำมาเพื่อล้างทำความสะอาดเศษอาหารเล็กน้อยและน้ำย่อยสีเหลืองอ่อนที่ถูกขับออกมาสวนทางกับที่มันควรจะเป็น จนผมปวดแสบในลำคอเหมือนมันกำลังไหม้และพองบวม
มีเสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือจาก application social media สุดฮิต มันถูกส่งมาจากเพื่อนของผมเองซึ่งเป็นคนแนะนำ มีนา ให้ผมได้รู้จัก..
"โอ๊ต มีนาเขาฝากมาบอกว่า ทุกอย่างจบแล้ว ขอให้มึงโชคดี เธอคงไม่เหมาะกับชีวิตคู่ในแบบที่มึงต้องการหรอก ดูแลตัวเองด้วย อย่าติดต่อมาอีกเลยนะ นี่คือคำขอร้องครั้งสุดท้าย เขาฝากมาแค่นี้ว่ะ"
ผมเลื่อนหน้าจออ่านข้อความพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาย มันค่อยๆไหลมาปนกับหยดน้ำที่เปียกค้างบนใบหน้าผม จนคงไม่มีใครรู้ว่าผมกำลังร้องไห้ อาจจะแค่เห็นผมเป็นคนเมาค้างที่กำลังหมดสภาพเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่หนักหนาจากเมื่อคืนมากกว่า
ผมปิดหน้าจอ ยัดมันใส่กระเป๋ากางเกง เดินเข้าไปในห้องน้ำ และร้องไห้อย่างเหมือนคนบ้าเบาๆอยู่ในนั้นราวสองชั่วโมง...
ความโดดเดี่ยวที่แสนแตกร้าว มันเจ็บปวดเสมอไม่ว่าจะผ่านมากี่ครั้งก็ตาม
เย็นมากแล้ว ผมไม่ได้เข้าไปออฟฟิตอีกเลยตลอดบ่าย ผมเดินหมดสภาพไปตามถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แต่ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนเดินอย่างรีบเร่ง ผมนึกเล่นๆ ว่าถ้าผมกระโดดออกไปบนถนนให้รถเมล์สายแปดเหยียบขาเล่นๆ หรือชนจนลงไปนอนจมกองเลือด คงทำให้หลายคนที่เดินกันจ้ำๆ ได้หันมาสนใจผมเป็นจุดเดียวแน่ๆ
แต่ไม่ดีกว่า มันคงเจ็บน่าดู และคงไม่ใช่ฉากจบที่สวยงามเท่าไหร่ มันน่าจะดูดีกว่านี้นิดหน่อยก็ยังดี
ผมเดินขึ้นรถไฟฟ้าไปจุดหมายปลายทางคือผับประจำที่ผมชอบไปดื่มจนเช้าเวลาเครียด บนรถไฟฟ้ามีคนอัดกันเต็มไปหมด คงเพราะเป็นช่วงหลังเลิกงานทุกคนมุ่งหน้ากลับบ้าน ผมหันมองไปรอบๆ ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ ไม่งั้นก็เล่น tablet ถ้าเป็นวัยรุ่นก็มีหูฟังอุดหูไว้พร้อมขยับเท้าเป็นจังหวะอย่างไม่สนใจว่ามันจะส่งเสียงกึกๆให้คนอื่นรำคาญหรือเปล่า ไม่มีใครส่งยิ้มให้ใครอีกต่อไป ในตู้โดยสารมีเพียงความเงียบงันคลอกับเสียงเพลงเบาๆที่ลอดมาจากหูฟังของเด็กหนุ่มที่กำลังโหนเสาอยู่ข้างๆตัวผมแค่นั้น
เราโดดเดี่ยวตัวเองด้วยโปรแกรมที่เชื่อมต่อคนทั้งโลกไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประหลาด
ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน นั่งลงตรงที่ประจำซึ่งมองเห็นได้ทั่วทั้งร้าน ผมสั่งเบียร์ป้ายเขียวดีกรีแรงๆ แต่รสชาติอย่าให้พูดถึง ผมแค่อยากเมาๆ จะได้ลืมความโดดเดี่ยวที่กระโดดมานั่งข้างๆไปไวๆ
แค่สองกระป๋องก็เริ่มรู้สึกตึงๆ เสียแล้ว คงเพราะของเก่ายังค้างมาตั้งแต่เมื่อคืนนั้นยังไม่หมดฤทธิ์ ผมมองออกไปที่โต๊ะโซฟาที่ไกลออกไป มีหนุ่มสาวกำลังเกาะกุมมือ กระซิบข้างแก้ม พลางหัวเราะกันอย่างมีความสุข
นั่นไง จุดเริ่มต้นของโดดเดี่ยว มันช่างหอมหวานและเย้ายวนใช่มั้ยหล่ะ...
ผมหันกลับมามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างร้าน มีฝนเม็ดเล็กๆกำลังตกลงมา มันช่างพอเหมาะกับความเหงาที่ผมกำลังเจอ เหมือนหนังไทยหรือมิวสิควีดีโอพวกเพลงอกหัก ที่ต้องมีฝนตกลงมาด้วยเสมอ ราวกับน้ำพริกที่ต้องมีผักลวกวางเคียงมาด้วยในโฆษณาผงชูรส
เม็ดฝนที่หน้าต่างกับแสงสีแดงจากไฟท้ายของรถที่ติดกันยาวเหยียดบนท้องถนนภายนอกร้าน มันดูสวยงามมากทีเดียว แต่ก็ยิ่งเพิ่มทวีความเหงาและแตกร้าวให้ลึกลงไปอีกหลายเท่าทวีคูณ
เหงา..
ผมเอามือเขี่ยหน้าจอมือถือที่ส่องสว่างในความมืดของผับ ที่ตอนนี้หรี่ไฟลงจนครื้ม รายชื่อเบอร์โทรนับร้อยๆชื่อถูกเขี่ยผ่านตาไปไวๆ
ไอ้บั๊ม.. ไม่หรอกมันพึ่งบ่นว่าไม่ได้นอนเพราะเลี้ยงลูกเล็กมาหลายคืนติดๆกัน
ไอ้นัท.. อ่อ เกือบลืมมันไปเรียนต่อที่อเมริกาเมื่อสองเดือนที่แล้ว ยุ่งจนลืมมันไปเลย โทรไปก็แพงเกิน!
ไอ้เม้ง.. ตอนนี้มันคงนอนไปแล้ว เพราะมันต้องตื่นไปซื้อของมาเตรียมที่ร้านตั้งแต่ตีสี่
ไอ้ต้น.. โทรไปคงโดนเมียมันด่า เพราะครั้งล่าสุดคือพามันไปเมาจนเอารถไปชนรั้วบ้านพังเป็นแถบ คงไม่ดีแน่..
เรามีเพื่อน FB เป็นพันๆคน แต่เวลาที่โดดเดี่ยวแบบนี้ กลับรู้สึกเหมือนโลกนี้ไร้ซึ่งมนุษย์ผู้อื่นอยู่อาศัย เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?
น้ำตาแห่งความโดดเดี่ยวเอ่อขึ้นอีกครั้ง นิ้วยังคงเขี่ยหน้าจอเลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับหมายเลขหนึ่ง ตอนนี้น้ำตาไหลลงอาบไปทั่วแก้มผม ผมพยายามเบือนหน้าออกทางหน้าต่าง ที่ตอนนี้แสงสีแดงๆจางไปมากแล้ว เหลือเพียงหยดน้ำฝนที่กระจกและฝ้าบางจากอากาศที่เย็นภายในผับที่คนแน่นขนัด แต่กลับแสนเปลี่ยวเหงาในเวลานี้ ผมกดโทรออกเบอร์นั้นทันที ระหว่างรอเสียงรับสายจากปลายทาง ผมพยายามสูดน้ำมูกและปรับน้ำเสียงให้ปกติเท่าที่จะทำได้
"สวัสดีจ้า โอ๊ต ว่าไงลูกโทรมาซะดึกเลย มิน่าฝนตกหนักเชียวที่บ้านเราเนี่ย" เสียงหญิงชราที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นที่ปลายสาย
"แม่ครับ หลับไปหรือยัง ขอบโทษที่โทรมาดึกนะครับ"
"โอ้ย ยังไม่นอน ดูละครเพิ่งจบลูก ว่าแต่เสียงอู้อี้เชียว ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก" เสียงของเธอดูมีความสงสัยไม่น้อย
"หวัดนิดหน่อยครับ ฝนตกบ่อย แต่ก็โอเคอยู่" ผมพยายามเอามือป้องโทรศัพท์ไว้ ให้เสียงรบกวนจากในร้านน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ดูแลตัวเองบ้างนะลูก พ่อกับแม่โทรหาทีไร ก็บอกว่าไปกินข้าวกับเพื่อนทุกที พักผ่อนบ้างนะ พ่อเขาก็ห่วง" เสียงพ่อตะโกนแว่วมาในสาย
"ครับแม่ ครับ โอ๊ตคิดถึงแม่นะครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ผมจะกลับบ้านนะครับ" น้ำตาอีกหยดตกลงบนหน้าจอสีฟ้า
"มาสิลูก ห้องแม่ก็ทำความสะอาดไว้ให้ตลอด ไม่ต้องกลัวฝุ่นนะ มาเอาอากาศบริสุทธิ์บ้าง จะได้แข็งแรงหายไวๆเนอะ เดี๋ยวจะทำแกงจืดไข่น้ำของโปรดไว้ให้กินด้วยนะ ดีมั้ย" น้ำเสียงแม่ดูตื่นเต้นทีเดียว
"ครับแม่...... ดีครับ ขอบคุณครับ"
"ไปพักผ่อนเหอะลูก...เอ่อ แม่เกือบลืม จำน้องก้อย ลูกสาวน้าอ้อยข้างบ้านเราได้มั้ย ที่ลูกไปเล่นกับเขาตลอดสมัยเล็กๆไง ตอนนี้เขากลับมาจากเรียนโทที่ฝรั่งเศสแล้วนะ เมื่อวานเขามาไหว้แม่ ยังถามหาโอ๊ตอยู่เลย ดีแล้วกลับบ้านคงได้เจอน้องเขานะลูก โตเป็นสาวสวยเชียว น้าอ้อยยังกระซิบบอกแม่อยู่เลยว่าน้องยังโสดนะลูก.." ผมนึกหน้าแม่ยิ้มกว้างออกเลยในตอนนี้
"ครับแม่ เดี๋ยวผมจะได้หาของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย"
"จ้า นอนเถอะลูก แม่ก็เริ่มง่วงแล้ว"
"ครับ พักผ่อนเยอะๆนะครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ"
ผมกดวางโทรศัพท์ลง ในหัวใจอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด น่าแปลกที่ความเหงาและโดดเดี่ยวที่นั่งข้างๆ หายตัวไปแล้ว เหลือเพียงหัวใจที่เต้นตุ๊บๆเบาๆอยู่ในหน้าอกของผม ผมรีบจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มแล้วเก็บของเดินออกมาจากร้าน
ระหว่างที่ยืนรอโบก taxi อยู่ก็นึกถึงภาพวัยเด็กที่บ้าน น้องก้อยเหรอ อืมม ถ้าจะให้บอกว่าเป็น puppy love ครั้งแรกก็คงไม่ผิด แต่เราห่างกันตั้งแต่ผมต้องมาเรียนมัธยมในกรุงเทพ แล้วเราก็ขาดการติดต่อกันไปนานมากๆ จนถึงตอนนี้
นั่นสินะ ไม่ต้องใช้มือถือ หรือ social media ความโดดเดี่ยว สองความโดดเดี่ยว อาจมาพบกันด้วยพรมลิขิตอะไรซักอย่าง แล้วความโดดเดี่ยวทั้งสองจะไม่ใช่ความโดดเดี่ยวอีกต่อไป
นิยามความโดดเดี่ยวของแต่ละคนคงต่างกันไป
ระหว่างการมองหน้าจอมิเตอร์ตัวเลขค่าโดยสารที่กำลังค่อยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างช้าๆ ผมทบทวนทุกๆเรื่องอีกครั้ง
สำหรับผมแล้ว ความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองทั้งสิ้น ทั้งๆที่มันอาจไม่เคยมีอยู่จริงด้วยซ้ำ เรามักคิดว่าเราโดดเดี่ยว อ้างว้าง หรือสุดเหงา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามีคนที่พร้อมยืนเคียงข้าง หรือคอยกุมมือคุณเอาไว้ไม่ห่างในวันที่คุณคิดว่าคุณไม่เหลือใคร
เขาคนนั้นอาจเป็นคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง เพื่อนสนิท หรือ คนรักของคุณ ซึ่งน่าแปลกที่คนส่วนใหญ่ที่ว่ามา เรากลับคิดถึงเขาตอนท้ายๆสุดของเวลาที่คุณรู้สึกโดดเดี่ยวเสมอ แต่เราอาจจะเผลอแคร์ตัวเลข friends หรือ like ในโปรแกรม social บนโทรศัพท์มากกว่าจะโทรหาคนที่แคร์คุณมากที่สุดในโลก และแคร์คุณแม้ในเวลาที่คุณไม่แคร์ใคร
แล้วจะนิยามความโดดเดี่ยวได้เช่นไร ในเมื่อมันไม่เคยมีอยู่จริงแม้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีตั้งแต่โลกนี้อุบัติขึ้นมา
เก็บกระป๋องเบียร์ที่ว่างเปล่าไปโยนทิ้งหลังร้าน by เพจเรื่องสั้นๆ
โฆษณา