3 ต.ค. 2019 เวลา 20:16 • ไลฟ์สไตล์
รีวิวซ้ำอีกครั้ง ชีวิตผมรอดได้ด้วย Starbucks
ไมเคิล เป็นชายที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานโฆษณาเป็นอย่างมาก เขามีเงินเดือนสูง มีชื่อเสียง มีผลงาน และมีอำนาจเพราะเขาเป็นคนสำคัญขององค์กร ชีวิตของเขามีทุกอย่าง บ้าน รถ ภรรยา ลูก มันดูสวยงามจริง และเมื่อเขาอายุเกินครึ่งร้อย เขาก็ถูกไล่ออกจากพนักงานบริษัทระดับสูงมาเป็นพนักงานบาร์ริสต้าร้าน StarBuck มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา มาดูกันใน Castbook ตอน ชีวิตผมรอดได้ด้วยสตาร์บัคส์
ไมเคิลเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ทำให้เขาถูกเลี้ยงดูมาแบบสปอย เขาได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และด้วยความสามารถ + เส้นสาย ทำให้มีบริษัทโฆษณามาติดต่อจองรับเขาเข้าทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
ไมเคิลก็รักงานโฆษณาของเขามากๆ และด้วยความที่เขาอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เขาทุ่มเทให้กับองค์กรอย่างมุ่งมั่น ไมเคิลมาทำงานเป็นคนแรกของบริษัทและกลับทีหลังเสมอ วันเสาร์อาทิตย์ถึงแม้จะเป็นวันที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ไมเคิลก็ยังทำงาน มีหลายครั้งที่เขาตัดสินใจยกเลิกทริประหว่างท่องเที่ยวกับภรรยาและลูกๆของพวกเขาเพื่อกลับมาเคลียร์งานด่วนที่นายจ้างขอร้องให้เขาทำ บางครั้งเขาก็ต้องบินข้ามรัฐไปทำงานหลายวันหลายสัปดาห์
เขาทำงานหนักเพื่อสิ่งเดียวที่เขาปรารถนา นั่นคือความสุขของครอบครัว ความสุขของลูก เขาซื้อบ้านหลังใหญ่ เขาจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ไม่ว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไหร่ เขาจะทุ่มเททำงานเพื่อสร้างชีวิตดีๆในอุดมคติของตัวเองให้ได้
ด้วยความที่เขาเป็นคนเก่งและถูกเลี้ยงมาแบบเอาแต่ใจ ทำให้เพื่อนในที่ทำงานรู้สึกอึดอัดเสมอ เวลามีใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ไมเคิลก็พร้อมจะสวมบทเป็นผู้ใหญ่แสนดุร้ายต่อว่าตวาดอยู่ร่ำไป โดยเฉพาะเด็กฝึกงานที่เข้ามาใหม่ ไมเคิลจะไม่ยอมเสียเวลาสอนงานพวกเขา ในขณะเดียวกันหากเด็กฝึกงานคนไหนทำงานออกมาได้ไม่ดี เขาจะยื่นเรื่องต่อผู้บริหารให้เอาคนๆนั้นออกจากองค์กรทันที ผู้อาวุโสหลายคนเกรงใจไมเคิล เพราะถึงแม้เขาจะทำตัวมีปัญหาหลายครั้ง แต่ฝีมือและความสามารถของไมเคิลเป็นของจริง
ไม่ใช่แค่ที่ทำงานเท่านั้นที่เขาสวมบทเป็นจอมดุร้าย แม้แต่กับที่บ้านก็เช่นกัน ไมเคิลอุทิศชีวิตให้กับงานจนละเลยเรื่องสำคัญอย่างจิตใจของคนในครอบครัว หากลูกๆของไมเคิลต้องการจะทำอะไรที่ผิดไปจากแผนที่เขาวางไว้ให้ ไมเคิลจะขึ้นเสียงและตวาดต่อลูกของพวกเขาอย่างแรง เรื่องกิจกรรมที่ลูกๆอยากทำเหรอ ไม่ต้องคิด ไมเคิลไม่อนุญาตให้ลูกๆทำอะไรเลยนอกจากเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่เขาเลือกให้เท่านั้น
1
ภายใต้หน้าฉากที่คนทำงานยกย่องบูชาว่าเขาเป็นเผด็จการที่เก่ง หารู้ไม่ว่าครอบครัวของเขากลับไม่มองเห็นเป็นเช่นนั้น ลูกๆเกลียดเขาที่เขาไม่มีเวลาให้ มีแต่ออกคำสั่งและมองเห็นแต่งานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตนี้
จนกระทั่งไมเคิลอายุ 60 บริษัทที่เขาทำงานฝากชีวิตถูกซื้อกิจการจากบริษัทสัญชาติอื่น ผู้บริหารถูกเปลี่ยนยกชุดเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงกว่า และด้วยความที่ไมเคิลเป็นพนักงานระดับอาวุโสที่มีค่าแรงสูงกว่าเด็กจบใหม่ 4-5 เท่า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องถูกไล่ออกจากองค์กรที่ตนเองทำงานมาร่วมครึ่งชีวิต
ทุกคนไม่มีใครเป็นห่วงไมเคิล เพราะตลอดเวลาเขาทำงานด้วยค่าแรง 6 หลักต่อเดือนมาโดยตลอด ไมเคิลน่าจะมีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวไปจนวันตายแน่ๆ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ ไมเคิลกับหน้าซีดเผือก เพราะเงินที่เขาหามาได้มันถูกใช้ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อความสุข ซื้อคุณภาพชีวิตดีๆของครอบครัวจนหมดสิ้น เพราะความคาดหวังในคุณภาพชีวิตที่สูง ทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตของเขาก็สูงเช่นกัน
เมื่อเขากลายเป็นคนตกงาน ไมเคิลพยายามสร้างเส้นทางนายตัวเองด้วยการรับจ้างทำงานโฆษณาในนามบริษัทของตัวเอง…!!! ในช่วงแรกๆเขาก็สามารถหาลูกค้าได้บ้าง แต่นานๆไปลูกค้าของเขาก็น้อยลง เขาพึ่งสำนึกในความจริงได้ว่าเขาแก่เกินไปสำหรับงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์
เขาอ่อนล้า เหนื่อย หมดแรง รู้สึกสับสนในตัวเอง เขาเลยอยากจะไปขอความรักความอบอุ่นจากลูกๆของเขา ไปกอดให้หายเหนื่ยซักหน่อย แต่ตอนนี้ลูกๆของไมเคิลโตหมดแล้ว ไมเคิลหมกมุ่นกับงานมากเกินไป ห่างกับลูกมากเกินไปจนทำให้เขากับลูกกลายเป็นคนแปลกหน้า เขาอยากอยู่กับลูกๆแต่ลูกๆไม่ได้อยากอยู่กับเขา ไมเคิลรู้สึกว่าตัวเองได้ทำช่วงเวลาสำคัญในชีวิตหายไป เขามัวทำแต่งานจนไม่ได้ใช้เวลาเฝ้ามองลูกๆของเขาเติบโต
ไมเคิลสูญเสียศรัทธา และเขาก็กอบกู้ศรัทธาด้วยการทำผู้หญิงคนอื่นท้อง เฮ้ย เอาจริงดิไมเคิล และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเลิกกับภรรยาและกลายเป็นคนถังแตกโดยสมบูรณ์แบบ เขาต้องใช้ชีวิตโดยอาศัยเงินช่วยเหลือของรัฐในห้องพักเล็กๆอย่างเดียวดาย
ในเมื่อเงินไม่พอใช้ เขาเลยพยายามหางานทำ แต่ด้วยอายุที่เยอะขนาดนั้น ทำให้ไม่มีบริษัทไหนเลยจ้างเขาทำงาน เขานั่งสิ้นหวังถึงอนาคตของตัวเองในร้าน Starbucks และ Starbucks สาขานั้นกำลังเปิดรับสมัครคนงานทันที ในเมื่อมีทางเลือกเดียวที่มี เขาก็ต้องเลือก
เขาทำงานโดยมีหัวหน้าเป็นสาวผิวสีอัฟริกัน อเมริกัน และด้วยความที่เขาไม่เคยทำงานอะไรแบบนี้มาก่อน ทำให้เขาเจอหัวหน้างานที่อายุน้อยกว่าเขาครึ่งหนึ่งตำหนิ สั่งสอน ซึ่งนั่นทำให้ภาพที่เขาเคยกระทำต่อคนอื่นย้อนกลับมาในความทรงจำหมดเลย
หัวหน้าของเขามีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างจากไมเคิล เธอเกิดมาในครอบครัวที่แตกสลาย ยากจน ละแวกบ้านเต็มไปด้วยอาชญากรรม ผู้ปกครองติดยาเสพย์ติดและไม่เคยสนใจเลยว่าเธอจะอยู่หรือจะตายอย่างไร ไมเคิลอยู่ในจุดสูงสุดของสายงานมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขากำลังเรียนรู้จากหัวหน้างานที่อายุเท่าลูกของเขา
ถึงแม้งานของไมเคิลจะได้ค่าแรงต่ำ แต่เพราะงานที่ได้เจอผู้คนมากมายที่ต่อแถวรอซื้อกาแฟนี่เเหละ ที่ทำให้ไมเคิลได้เห็นคุณค่าของชีวิต เป็นงานที่ทำให้เขาตาสว่าง เป็นงานที่ทำให้เขาเห็นว่าความสัมพันธ์มีมูลค่าสูงกว่าเงินมากขนาดไหน และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไมเคิลจะทำงานอย่างเต็มที่ เที่ยวเล่นให้เวลากับลูกๆอย่างเต็มที่ ใจดีกับเพื่อนร่วมงานอย่างเต็มที่ และทุ่มเทดูแลครอบครัวของเขาเองอย่างเต็มที่เช่นกัน
แน่นอน ผมมองว่าเมื่อเราทำงานเป็นพนักงานประจำให้กับองค์กร เราก็ควรทุ่มเททำงานให้นายจ้างอย่างสุดความสามารถเพื่อเพิ่มความก้าวหน้าและพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเอง แต่ก็ไม่ควรละเลยองค์กรอีกอันหนึ่งที่เรียกว่าครอบครัว ซึ่งเป็นองค์กรที่ต้องการการทุ่มเทจากคุณไม่แพ้กัน และก็ควรจะสร้างแผนสำรองฉุกเฉินเอาไว้ หากวันหนึ่งชีวิตของคุณเจออุบัติเหตุ คุณจะได้ไม่สะดุดล้มจนหัวทิ้ม
สำหรับคนที่อยากจะเรียนรู้เรื่องราวของไมเคิลอย่างละเอียด คุณสามารถซื้อหนังสือ How starbucks save my life หรือภาษาไทย ชีวิตผมรอดได้ด้วยสตาร์บัคส์ โดยสำนักพิมพ์แสงดาวได้เลยครับ ขอขอบคุณสำนักพิมพ์แสงดาว ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
Startyourway เส้นทางนายตัวเอง
โฆษณา