19 ต.ค. 2019 เวลา 14:16 • บันเทิง
Movietalk หนังชนโรง:
Maleficent: Mistress of Evil
หลีกหน่อย...ยานแม่จะลงจอด!
กาลครั้งสองนานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งมัวร์
ภายหลังจากการฟื้นตื่นจากนิทราของเจ้าหญิง
ออโรร่า ด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ที่มาจากนางพญาปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยหันหลังให้กับความรัก
แต่จิตใจอันเป็นน้ำแข็งของเธอต้องละลายด้วยความรัก และความผูกพันของออโรร่า ในฐานะ ‘แม่’ ที่เฝ้าดูแล ‘ยายอัปลักษณ์’ ตัวน้อยมาโดยตลอด
ใครก็ตามที่หันหลังให้ความรัก เมื่อมีความรักอีกครั้ง มักจะกลัวการสูญเสีย ‘คนรัก’
เฉกเช่นเดียวกับนางพญาปีศาจ มาเลฟิเซนต์
ที่สถานะของเธอกลายเป็นมากกว่าแม่ทูนหัว
ของเจ้าหญิงออโรร่า
เพราะเธอคือ ‘แม่’ หนึ่งเดียวของเจ้าหญิงออโรร่า
กระทั่งวันที่เจ้าชายฟิลลิปแห่งอัลสตรีด คุกเข่าขอออโรร่าแต่งงาน เจ้าหญิงตอบตกลง
ด้วยความกังวลใจ เธอคิดในใจ
แม่จะยินยอมไหม?
มากไปกว่านั้น ทั้งเจ้าหญิงออโรร่าผู้มีจิตใจงดงาม และเจ้าชายฟิลลิปผู้แสนดี ปรารถนาให้การสมรสของทั้งสองนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างสองเผ่าพันธุ์
มาเลฟิเซนต์ ตระหนักทันทีว่าเธอกำลังจะสูญเสียพื้นที่ความรักที่เคยมีเคยเป็นในชีวิตของออโรร่า แต่เพื่อลูกแล้ว ‘แม่ยอม’
กระทั่งวันที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายพบปะกัน พระราชาจอห์น และราชินีอิงกริธ เปิดพระราชวังต้อนรับ
ออโรร่าเจ้าหญิงแห่งผืนป่า และนางพญาปีศาจมาเลฟิเซนต์ผู้น่าพรั่นพรึง แต่ภายใต้รอยยิ้มและการต้อนรับดุจมิตรของราชินีอิงกริธ แท้จริงเต็มไปด้วยวาจาเชือดเฉือน และดูหมิ่นดูแคลน
จนมาลิฟิเซนต์ลุแก่โทสะ
เหตุการณ์บานปลายจนกลายเป็นชนวนนำไปสู่สงครามของสองเผ่าพันธุ์ที่ต้องห้ำหั่นกัน!
Maleficent: Mistress of Evil เป็นงานภาคต่อของ Maleficent ที่ดีสนีย์นำเอาตัวละครร้ายใน
แอนิเมชั่น Sleeping Beauty มาต่อยอดโดยเล่าเรื่องราวก่อนจะเป็นราชินีปีศาจผู้ใจร้ายอย่างที่เราคุ้น โดยภาคต่อนี้ได้ โจอาชิม รอนนิ่ง ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานใน Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales มารับไม้ต่อจาก โรเบิร์ต
สตรอมเบิร์ก
หน้าหนังแม้จะเป็นงานแบบเทพนิยายดีสนีย์ แต่ตัวหนังกลับมีนัยยะแฝงจนอาจกล่าวได้ว่ามันคือความเป็นผู้ใหญ่แฝงในหนังเทพนิยาย บทหนังหยิบเอาเรื่องราวสองเผ่าพันธุ์ที่บาดหมาง และต้องทำสงคราม เพียงเพราะความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย ไม่ต่างจากสถานการณ์บางแห่งบนโลกใบนี้ ที่เราชินตาจากข่าว และหนังก็นำเสนอด้วยภาพฉากสงคราม มีการล้มตายให้เห็น จนมันมีความดาร์กอยู่เจือปนในสายตาของเด็ก จึงอาจเป็นงานที่ผู้ปกครองอาจต้องให้คำแนะนำไปด้วย
ยังไม่นับประเด็นรองที่ให้มาเลฟิเซนต์ ไม่ต่างจากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ลูกสาวกำลังจะออกเรือน ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไป ภาพที่เคยเห็นเด็กสาวตัวน้อยที่เคยวิ่งเล่นและเติบโตในบ้าน กลายเป็นความว่างเปล่าและเงียบเหงา นี่มันคือชีวิตจริงที่เราคุ้นชิน เหมือนจะบอกให้คนเป็นพ่อแม่ต้องเตรียมรับมือในสักวัน
นี่ถ้าไม่มีปราสาท ตัวประหลาด และเวทมนต์ แล้วพลิกเป็นเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก นี่คืองานหนังร่วมสมัยเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
แต่หนังก็ยังมีความเป็นเทพนิยาย ดังนั้นประเด็นที่ว่ามาทั้งสองเรื่องไม่ได้ถูก ‘ขยี้’ ในระดับแบบหนังผู้ใหญ่ดู เรายังคงได้เห็นความน่ารักของบรรดาภูติจิ๋ว และเช่นเคยบรรดามนุษย์ส่วนใหญ่ในภาคนี้ ยังคงรับบทตัวร้ายในหนังไม่ต่างจากภาคแรก เหมือนยั่วล้อจิกกัดเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถรุกรานทุกชีวิตบนโลกใบนี้ได้เสมอ หรือจะเถียงว่าไม่จริง?
แต่ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ‘เอาอยู่’ ก็ต้องปรบมือให้การแคสติ้งนักแสดงเพื่อรับบทมาเลฟิเซนต์ แม่แองเจลินา โจลี่ ที่คงหานักแสดงหญิงคนใดบนโลกนี้ที่เหมือนเกิดมาเพื่อรับบทมาเลฟิเซนต์โดยเฉพาะ!
ภาคแรกเราได้เห็นแม่แองจี้เป็นมาเลฟิเซนต์ที่โดนคนรักทำร้าย เห็นแม่เรียนรู้ที่จะมอบรักแท้ให้แก่ใครสักคน (ในภาคแรก ออโรร่าในวัยห้าขวบ คือ วิเวียน โจลี่-พิตต์ ลูกสาวของแม่แองจี้มารับบทเอง ลองกลับไปดูใหม่ จะเห็นแววตาของแม่ที่มองดูลูกจนสัมผัสได้) มาถึงภาคนี้ หนังสร้างพัฒนาการให้มาเลฟิเซนต์ต้องรับบมือกับการสูญเสียคนรักอีกครั้ง หากแต่เป็นการสูญเสียเพื่อให้คนที่ตนรักมีความสุข และทำใจยอมรับถ้าชีวิตจะไม่เหมือนเคย คงไม่ต้องบอกว่าทุกฉากที่แม่ออกมา แม่ก็คือแม่ ระดับแผ่นดินไหว ทุกฉากที่แม่แองจี้ปรากฏตัวภายใต้ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม และท่าทางที่ทั้งออร่ามาเต็ม และทรงอำนาจเมื่อถึงเวลาสำคัญ ‘หลีกหน่อยยานแม่จะลงจอด’
มาเต็ม ๆ ในทุกการแสดง
ตีคู่กันมาคือ ป้ามิเชลล์ ไฟเฟอร์ ในบทราชินีอิงกริธ ที่ดูหนังตัวอย่างก็น่าจะสัมผัสรังสีอำมหิตได้ในที และป้ามิเชลล์ทำให้คนดูลืมภาพแม่ที่ติดในมิติควอนตัมใน Ant-Man an The Warp ป้าให้การแสดงระดับยานป้ามาเอง ร้ายจนคนดูเกลียดเข้าไส้ แถมป้ายังพ่วงลูกสมุนตัวร้าย เกอร์ดา ที่รับบทโดย เจนนี่ เมอร์เรย์ ตัวเล็กแต่ร้ายนัก ทั้งสองเล่นได้ร้ายมากจนคนดูพากันเผาพริกเผาเกลือแช่งกันเลยทีเดียว
คนที่อยู่ตรงกลางคือเจ้าหญิงออโรร่า ของ แอลล์ แฟนนิ่ง ที่กลับมารับบทเดิม ในภาวะที่สับสน จนเริ่มลังเลใจกับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต ฉากช่วงท้ายเปิดโอกาสให้น้องแอลล์ได้แสดงอย่างเต็มที่ จนคนดูสัมผัสความรู้สึกได้อย่างจัง (ไปดูกันเอาเองในโรง) นี่คือนักแสดงผู้เป็นน้องสาวของเด็กสาวมหัศจรรย์ ดาโกต้า แฟนนิ่ง ที่เคยทำให้ใครต่อใครหลงรักใน I am Sam คนนั้นนั่นล่ะ
แม้จะตั้งใจเพียงไหนก็ตาม น้องแอลล์และบรรดานักแสดงคนอื่นก็แทบจะไปไม่รอดเมื่อต้องเข้าฉากที่มีทั้งแม่แองจี้ และป้ามิเชลล์ สองคนนี้ออกมาฉากไหน นักแสดงที่เหลือตายเรียบ พลังการแสดงทำลายล้างสูง ระดับที่ตัวละครสำคัญอื่น ๆ กลายเป็นตัวประกอบไปด้วยเลย
เจ้าชายฟิลลิปเปลี่ยนตัวจาก เบรนตัน ธเวทส์ มาเป็น ฮาร์ริส ดิกกินสัน ถึงเปลี่ยนตัวก็ไม่มีผลต่อความรู้สึก เพราะในภาคแรกเจ้าชายฟิลลิปก็แทบจะเป็นไม้ประดับ จนคนดูก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
แซม ไรลีย์ กลับมาเป็น เดียวาล ปักษาดำที่คราวก่อนแปลงร่างเป็นมังกรได้ ภาคนี้บทน้อยลง แต่ก็มีช่วงเวลาขโมยซีนกับเขาบ้างเหมือนกัน
ชิวิเทล เอจิโอฟอร์ รับบทเป็น โคนาล หัวหน้าเผ่าดาร์กเฟย์ผู้ใฝ่สันติ และ เอ็ด สเครนท์ เป็น บอร์รา สายแข็งที่คิดจะใช้สงครามเพื่อยุติปัญหา
ฉากป่าแห่งมัวร์ และดินแดนสุดท้ายของดาร์กเฟย์ ทำซีจีออกมาในระดับเนียนตา พอ ๆ กับตื่นตา ดูแล้วนึกถึงสมัยแรก ๆ ที่ได้ดูโลกแห่งดาวเนวีใน Avatar อารมณ์เดียวกันเลย
ด้วยความเป็นหนังที่ให้ดูได้ทุกเพศวัย หนังจึงเล่าเรื่องโดยไม่มีอะไรซับซ้อนเกินความคาดเดา ที่เหลืออยู่ที่แต่ละคนจะรับเอาความสนุก และสาระที่ซ่อนอยู่กลับไปบ้านด้วยรึเปล่า
ความรักคือการเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข ไม่ว่าคนที่รักจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม เพราะนั่นคือรักแท้ที่มีแต่ความปรารถนาดี โดยปราศจากเงื่อนไข แต่ก็อย่าลืมทำใจและรับมือ เมื่อวันหนึ่งวันใดรักแท้จะต้องหายไปจากชีวิต
ดูจบแล้วอย่าลืม กลับบ้านและโอบกอดคนที่คุณรัก
ลองคิดดูว่สครั้งสุดท้ายที่กอดและบอกรักกันน่ะเมื่อไหร่?
โพสต์นี้มีแถม...ของมันต้องมี!
แฟน ๆ ขุ่นแม่แองจี้ และ น้องแอลล์ ต้องไม่พลาด Download Wallpaper Maleficent: Mistress of Evil ไปทำเป็น Wallpaper หน้าจอสมาร์ทโฟน หรือ คอมพิวเตอร์ได้เลยผ่านลิงก์นี้ครับ (ขอบคุณ Disney Movie)
ไปดูเมคอัพแม่แองจี้กลายเป็นมาเลฟิเซนต์
Maleficent: Mistress of Evil (2019) Directed: Joachim Rønning/Starring: Angelina Jolie, Elle Fanning, Chiwetel Ejiofor, Sam Riley, Ed Skrein, Juno Temple, Imelda Staunton, Lesley Manville, Harris Dickinson, Michelle Pfeiffer/Screenplay: Linda Woolverton, Noah Harpster, Micah Fitzerman-Blue/Story: Linda Woolverton/Based on Charecters form Disney’s Sleeping Beauty La Belle au Bois dormant by Charles Perrault/Music: Geoff Zanelli/Cinematography: Henry Braham/Edited: Laura Jennings, Craig Wood/Distributed: Walt Disney Studio Motion Pictures/Running time: 118 Mins./PG
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube, Disney Movie
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb
โฆษณา