24 ต.ค. 2019 เวลา 14:29
จากโพสต์ครั้งที่แล้วเรื่องการเล่นดนตรีมีบางท่านเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าอยากให้เล่าประสบการณ์ช่วงที่เล่นดนตรีอยู่
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่าการเล่นของผมไม่ใช่เป็นอาชีพซะทีเดียวเรียกว่ากึ่งอาชีพน่าจะดีกว่า
ช่วงแรกของชีวิตนักดนตรีเริ่มจากช่วงมัธยม 4ปลายๆคือช่วงนั้นตั้งวงกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันงานแรกๆเลยก็เป็นงานในโรงเรียนเช่นวันคริสมาสต์ เล่นโฟล์คซองตามห้องเรียนในช่วงปีใหม่ก็ออกแนววัยรุ่นขำๆ
เล่นไปซ้อมไปเมื่อก่อนค่าเช่าห้องซ้อมชั่วโมงละ 80 บาท นักดนตรีวัยเยาว์ 5 คนรวมเงินกันกว่าจะได้ 80 บาท สมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย..เพราะเงินที่แม่ให้ไปโรงเรียนวันนึงแค่ 5 บาท หมดไปกับค่าบุหรี่สมัยก่อน 5 มวนก็ปาเข้าไป 3 บาทแล้วเรียกว่าต้องประหยัดแทบแย่เพราะใจรัก
อาทิตย์นึงเราจะเข้าห้องซ้อมกันหนึ่งครั้งครั้งละหนึ่งชั่วโมง..ทุกๆนาทีของพวกเราจึงสำคัญมากๆก่อนเข้าห้องซ้อมเราต้องซ้อมกีตาร์โปร่งซักซ้อมความเข้าใจความพร้อมเพรียงกันมาก่อนไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
และแล้วงานใหญ่ที่สุดในตอนนั้นในวัยขนาดนั้นก็เข้ามามันคืองานงิ้วประจำปีเป็นงานขายบัตรเป็นรอบๆเพื่อเข้าไปเต้นเหมือนรำวงย้อนยุคประมาณนั่นเลย 5 วัน 5 คืน ...เหนื่อยมากๆแต่ก็โคตรสนุกเลย มีอยู่คืนนึงจำได้แม่นยำเลยคืนนั้นฝนตกพรำๆตลอดเวลาที่เล่นดนตรีอยู่บนเวทีเล่นไปได้สักพักนึงช่างไฟที่คอยคุมระบบไฟของเวทีก็เอาไขควงวัดไฟมาจิ้มที่โครงเหล็กของเวทีที่พวกเรายืนเล่นอยู่..เชื่อไม๊ครับไฟที่ปลายด้ามไขควงสว่างจ้าขึ้นมาเป็นสัญญาณเตือนว่าไฟฟ้ารั่วแบบครบวงจร
แต่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชไม่มีใครกลัวตายกันล่ะทั้งคนเล่นดนตรีและคนที่ซื้อตั๋วเข้ามาเต้น ตัวผมเองก็ชักเริ่มใจเสียขึ้นมาเหมือนกันบอกตรงๆว่าใครก็ดลัวตายทั้งนั้นล่ะครับ
ก็ฝืนเล่นต่อไปแบบผวาเล็กๆจนได้ยินเพื่อนคนที่เล่นกีตาร์โซโล่ที่ยืนเล่นอยู่ข้างๆผมตะโกนแข่งกับเครื่องเสียงและสายฝนมาว่า..มึงอย่าปล่อยมือจากสายกีตาร์นะกำไว้ตลอดเลยถ้าปล่อยแล้วจับใหม่ไฟมันจะดูดเพราะมันจะครบวงจรพอดี
พอเวลาผ่านมาอายุมากขึ้นทุกวันนี้ยังนึกถึงวันนั้นจำได้อย่างแม่นยำ ทั้งสนุก ทั้งเสี่ยงตาย ทั้งได้ใช้ชีวิตแบบเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันในตอนนั้นไม่เคยเจอ..วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับครั้งหน้าจะหาเรื่องสนุกๆของเด็กบ้านๆคนนี้มาให้ฟังกันต่อ(ถ้ายังอยากจะฟังกันอยู่นะครับ555)
โฆษณา