5 พ.ย. 2019 เวลา 11:18 • การศึกษา
Mindset พ่อแม่ยุคใหม่
เลี้ยงลูกยังไงให้มีความสุข
เชื่อว่ามีผู้ใหญ่รุ่นใหม่ อย่าง Gen Y กำลังเริ่มมีครอบครัว หรือเริ่มเลี้ยงดูลูกกันบ้างพอสมควรแล้ว
Pixabay
ซึ่งหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเลี้ยงลูกก็คือการส่งเสริมเด็กในทางการเรียน
พ่อแม่หลายคนก็รู้ถึงปัญหาของระบบการเรียนที่ตัวเองเคยผ่านมาก่อน หรือได้ฟังมาอีกทีก็ตาม จะพบว่าการเรียนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเน้นเรียนเพื่อสอบ เรียนเพื่อการแข่งขันกับเพื่อน ซึ่งก็เป็นลักษณะนี้มาหลายสิบปี เพียงแต่ดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
และพบปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น เช่นโรคซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย จากการทนความกดดันในการเรียน การคาดหวังของสังคม หรือแม้กระทั่งจากตัวพ่อแม่เองไม่ไหว
น่าแปลก ทั้งๆที่หลายคนเห็นปัญหาและรู้ว่าอาจจะมีแนวทางอื่นที่ดีกว่า แต่คนส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย มองว่าเด็กๆทุกคนต้องผ่านมันไปได้ เพราะเราก็เคยผ่านมันมาแล้ว จึงยังผลักดันหรือแม้กระทั่งกดดันให้ลูกเรียนหนักๆ เรียนพิเศษเยอะๆไว้ก่อน เพราะกลัวลูกจะสอบไม่ได้ ไม่มีที่เรียน แล้วจะไม่มีงานการที่ดี ชีวิตจะลำบาก คิดว่าตัวเองทำเพราะหวังดีกับเด็ก
Pixabay
ทีนี้เราลองถอยมาดูภาพใหญ่ในสังคมยุคนี้
เราจะพบว่า โลกของเรามีอิสระขึ้นมาก มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน แม้กระทั่งอาชีพการงาน คนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยนั้น อาจจะเป็นเพียงแค่เด็กติดเกมในสายตาพ่อแม่ อาจเป็นเด็กที่ชอบเล่นดนตรี จนเป็นอัจฉริยะทางดนตรี อาจเป็นเด็กที่แต่งหน้าเก่งจนมีผู้ติดตามมากมาย หรือเป็นนักกีฬาที่มีทักษะ มีร่างกายที่แข็งแรง หรือเด็กที่ทำอาหารเก่งจนผู้ใหญ่ยังต้องอาย
ซึ่งเด็กเหล่านี้ก่อนที่พวกเขาจะเก่งขึ้นมาได้ ก็ย่อมต้องได้รับการฝึกฝน การพัฒนาในสิ่งที่เด็กๆมีความชอบ มีความถนัด
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องไปจำกัดว่า เด็กที่เก่งคือ เด็กที่เรียนเก่งในห้อง และไม่มีเหตุผลที่เด็กทุกคนจะต้องเรียนไปในแนวทางเดียวกัน
เพราะอย่างตัวเราเองยังรู้สึกได้เลยว่า สิ่งที่เรียนมา 80% อาจไม่เคยได้ใช้ประโยชน์ใดๆเลย
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มโทษระบบการศึกษา ว่าไม่ส่งเสริมให้เด็กพัฒนาไปในแนวทางที่ควรจะเป็น แต่อย่าลืมว่า ครูคนแรกของเด็กๆก็คือ พ่อแม่ นั่นเอง
ถ้าตัวพ่อแม่เอง ยังมีความคิดแบบเดิมๆ มีแนวทางการเลี้ยงดูเด็กแบบเดิมๆนั้น ต่อให้ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนทางเลือก หรือเลี้ยงเองแบบโฮมสคูล เด็กก็อาจจะพัฒนาได้ไม่เต็มที่อยู่ดี และอาจมีปัญหาทางสุขภาพจิต ไม่ต่างจากเดิม
“ถ้าเราไม่ชอบระบบ ก็อย่าปฏิบัติกับลูกแบบระบบเสียเอง”
ฉะนั้นการปรับ mindset ของพ่อแม่ยุคใหม่ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับระบบการเรียนของเด็กเช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจในการดูแลเด็กก็คือ
Pixabay
1 พ่อแม่เองต้องเข้าใจก่อนว่า การเรียนในห้องเก่ง ไม่ได้การันตีความสุขและความสำเร็จในชีวิตให้กับลูก เลิกคิดว่าลูกต้องเรียนเก่งถึงจะประสบความสำเร็จได้
ที่จริงแล้ว เราทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น ถ้าทำได้ดีและมีใจรัก
2 สนับสนุนการเรียนรู้นอกห้องเรียนของลูกให้มากขึ้น
‘Jack Ma’ เคยได้ให้ข้อคิดไว้ว่า เด็กๆควรได้เรียน กีฬา ดนตรี และศิลปะ ซึ่งนั่นทำให้พวกเราแตกต่างจากหุ่นยนต์
3 ถ้าเห็นว่าลูกทำอะไรเก่ง และลูกก็ชอบ ก็ช่วยสนับสนุน การที่ให้ลูกทำอะไรที่ชอบบ้าง จะทำให้ลูกไม่ต้องเครียดกับชีวิตการเรียนในห้องจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนในห้องให้ดีขึ้นด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งเด็กอาจจะเจอพรสวรรค์ของตัวเอง และพัฒนาไปในแนวทางนั้นได้เลย
อย่างแนวทางของฟินแลนด์ ก็มีข้อคิดที่น่าสนใจคือ ครูเป็นคนที่คอยสนับสนุนและคอยช่วยให้เด็กพัฒนาไปในแนวทางของเค้า มากกว่าเป็นคนสอนหรือคนชี้นำ
4 ทักษะสำคัญที่ต้องฝึกให้เด็กยุคใหม่คือ การปรับตัว ความฉลาดทางอารมณ์และสังคม และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอด เด็กจึงควรได้พัฒนาทักษะหลายๆอย่างตั้งแต่เล็ก และทักษะหลายอย่างเกิดจากการเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือการเรียนรู้ตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
5 เรื่องที่ต้องใส่ใจมากๆ คือ ภาวะทางอารมณ์ของเด็ก ปัจจุบันการแข่งขันยิ่งสูง การปรับตัวก็ต้องรวดเร็ว เด็กมีโอกาสเกิดความเครียดสูงมากได้ ภาวะซึมเศร้า ปัญหาทางพฤติกรรม ติดยา รวมถึงการฆ่าตัวตาย มีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าลืมที่จะคอยตรวจสอบภาวะทางอารมณ์ของลูกให้ดีๆ
สุดท้าย ขอฝากข้อคิดสั้นๆไว้นะคะ
“ทุกคนคืออัจฉริยะ
แต่ถ้าคุณตัดสินปลาสักตัว ด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้ของมัน
มันอาจจะใช้ทั้งชีวิตคิดว่า มันก็เป็นแค่ปลาโง่ๆตัวหนึ่ง”
อนาคตของเด็กๆขึ้นอยู่กับแนวทางการดูแลของพ่อแม่นะคะ ขอให้ทุกคนเลี้ยงลูกอย่างมีความสุข ^_^
Lifehacker
โฆษณา