15 พ.ย. 2019 เวลา 04:51 • ความคิดเห็น
#กินศพเพื่อนประทังชีวิต !!
ถ้าเป็นเราจะทำแบบนั้นไหม .....?
1
ประโยคคำถามด้านบนนี้ ถูกตั้งเป็นคำถามและมีผู้คนมากมายพากันถกเถียงถึงเรื่องนี้นับพันๆครั้ง
1
ส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้น อาจเป็นเพราะ
การถกเถียงนั้น มีเรื่องของศิลธรรมกับความอยู่รอดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
1
แม้แต่ตัวของผมเอง ก็เคยถูกเพื่อนๆตั้งคำถามเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน และผมก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับไปในเรื่องนี้เช่นกัน
1
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. เว็บไซต์ข่าว อินดิเพนเดนซ์ได้ตีแผ่หนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือน
1
เรื่องนี้ต้องย้อนไปในปี 1972 เครื่องบินแฟร์ไชด์ FH-227D ที่บรรทุกผู้โดยสารมา เป็นนักรักบี้ทีม "โอลด์คริสเตียนส์"ของมหาวิทยาลัย
สเตลล่ามาริส
1
นักรักบี้อุรุกวัย
เป็นเรื่องราวปาฏิหาริย์ปนสยองขวัญ
แต่จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ เพียงอย่างเดียวนั้นก็คงไม่ได้เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้นักรักบี้ทั้ง 16 คน รอดชีวิตมาได้
1
“อาหารที่ติดอยู่ในกระเป๋าไม่กี่ชิ้น
หอยแมลงภู่ 1 กระป๋อง แยม 3 ขวด
อัลมอนด์เพียง 1 กระป๋อง ขนมคบเคี้ยวอีกเล็ก
น้อย ไวน์ดีๆ 1ขวดเพื่อเตรียมฉลอง
1
ที่กล่าวมาทั้งหมด นั่นคืออาหารที่ทีมรักบี้อุรุกวัยและผู้ติดตามที่รอดชีวิต ต้องแบ่งกันหลังจากเครื่องบินที่พวกเขานั่งมาตกลงท่ามกลางภูเขาหิมะ
1
อุบัติเหตุ ช็อกโลกนี้เกิดขึ้นที่เทือกเขา
แอนดีส (Andes) โดยมีนักรักบี้และผู้ติดตาม
45 ชีวิต
1
ซึ่งกำลังออกเดินทาง โดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศชิลี และเหตุการณ์นี้ได้คร่าชีวิตคนเกือบครึ่งบนเครื่องไปทันที
1
ซากเครื่องบิน
อาหารหมดลงอย่างรวดเร็ว บีบให้ผู้รอดชีวิตหลายคนจำเป็นต้องกินชิ้นส่วนของเครื่องบินเพื่อประทังชีวิต
1
พวกเขาจำเป็นต้องกลืนสำลีที่ถูกยัดไว้ใต้เบาะที่นั่ง หรือแม้กระทั่งกัดกินหนังที่ห่อหุ้มเก้าอี้
1
แน่นอนว่า มันยิ่งทำให้สภาพร่างกายของพวกเขายิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนพวกเขาจำเป็นต้องหยุดวิธีการนี้เอาไว้
1
ในทุกค่ำคืนท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนักอากาศจะลดลงต่ำสุดถึง -30 องศา
1
ความหนาวเย็นกรีดผ่านบาดแผลของเขาเหล่านั้น ยิ่งดึกยิ่งเพิ่มความเจ็บปวด ทุกค่ำคืนช่างเป็นค่ำคืนของความทรมานที่ยาวนานนัก
1
เทือกเขา แอนดีส
เสียงพูดคุยครวญคราง เสียงขากรรไกรที่ดังสั่นกระทบกัน ก็ค่อยๆเงียบลงในทุกคืนพร้อมกับร่างไร่วิญญาณที่ถูกฝังลงในหิมะ
1
ผู้รอดชีวิตจำนวน 27 คน ค่อยๆลดจำนวนลง ซึ่งเขาเหล่านั้น ก็มีสภาพที่ไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณบนเทือกเขาหิมะเลย
1
พวกเขาจำเป็นต้องปรับเข็มขัดให้แน่นขึ้นในทุกๆวันเพื่อที่จะรั้งกางเกงให้ยังสามารถอยู่บนร่างกายที่ซูบผอม
ในเวลาเดียวกันเสียงจากวิทยุของผู้รอดชีวิตคนหนึ่งในทีมดังขึ้น วิทยุสื่อสารได้แจ้งว่า..
9
ทีมช่วยเหลือกำลังตามหาพวกเขา และนั่นก็ได้กลายเป็นความหวังเดียวที่ทำให้พวกเขากัดฟันสู้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
7
นานเข้าความช่วยเหลือก็ยังมาไม่ถึง
จนท้ายที่สุดแล้ว ความหิวโหยบวกกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
11
ค่อยๆบีบบังคับ ให้พวกเขายอมรับว่าอาหารที่เหลือเพียงอย่างเดียวในตอนนั้นก็คือ ศพ
ของเพื่อนร่วมทีมและคนรักของพวกเขา
11
การเอาชีวิตรอด
แต่ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ !!
11
นายคาเนสซ่า (นักศึกษาแพทย์)
เป็นเจ้าของความคิดนี้
ได้เริ่มนำศพที่เพิ่งเสียชีวิตมาหั่นและรับประทานเป็นอาหารคนแรก
11
"สิ่งนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้"
21
แต่เขาไม่มีทางเลือกใด นอกจากกินซากศพเพื่อนเป็นอาหารด้วยความรู้สึกเจ็บปวดภายในเช่นเดียวกับเพื่อนๆ คนอื่นที่ยังชีวิตอยู่
21
แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มนึง ที่ปฎิเสธเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง "พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเขาคือเพื่อนเราจะกินศพได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันผิดศิลธรรม"
21
ถึงแม้อีกกลุ่ม
จะพยามอธิบายว่าพวกเขาตายไปแล้วและเราไม่ได้ฆ่าเพื่อกินเนื้อเพื่อนเลย
21
แต่กลุ่มที่ปฏิเสธนั้น ก็ยังไม่ยอมกินเนื้อจากศพตั้งใจจะรอความช่วยเหลือเท่านั้น
7
สุดท้ายกลุ่มที่เลือกไม่กิน ก็ค่อยๆทยอยเสียชีวิตในที่สุด เหลือกลุ่มคนที่เลือกกินเนื้อเพื่อนเพื่อประทังชีวิต และอยู่รอดต่อไปได้อีก 16 คน
22
ผู้รอดชีวิตที่รอความช่วยเหลือ
ทุกคนอดทนต่อรอการช่วยเหลือต่อไป หากแต่ว่าการช่วยเหลือนั้นไม่เคยมา เพราะจากข่าวที่ได้ฟังในวันรุ่งขึ้นนั้น ภารกิจออกค้นหาได้ถูกยกเลิกแล้วเพราะทัศนวิสัยไม่เป็นใจ
14
สถานการณ์ไม่สามารถเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว บางคนแทบที่จะกลั้นใจตายเพื่อให้ได้หนีไปจากขุมนรกอันแสนเจ็บปวดนี้
7
แต่มีผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่ง ไม่คิดแบบนั้น พวกเขาบอกว่านี่คือข่าวดีของเรา เพราะว่าอำนาจในการเลือกว่า จะอยู่หรือตายตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว
22
#มนุษย์ทุกคนมีทางเลือก
11
โรเบอร์โต้ คาเนสซา และเพื่อนอีก2คน
ตัดสินที่จะเดินทางออกไปเพื่อตามหาความช่วยเหลือ ฝ่าพายุหิมะด้วยความหนาวเหน็บเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะตกเขา
35
เมื่อเห็นมัจจุราชมายืนรอตรงหน้า 1ในนั้น
จึงตัดสินใจขอกลับไปรออยู่ที่เดิม โดยปล่อยให้ คาเนสซา และ ปาร์ราโด้ เดินทางไปต่อ
20
ตีพิมพ์เป็นข่าวหน้าหนึ่ง
#คาเนสซ่าทำได้ !!
และหลังจากการเดินเท้ากว่า 10 วันที่สุดทรหด พวกเขาก็ได้พบกับความช่วยเหลือที่พวกเขาตามหามานาน ซึ่งมันคงนานมากๆในความรู้สึกของเขาเหล่านั้น
16
นับเวลาจากวันที่เกิดอุบัติเหตุจนถึงวันที่ 16 คนได้รับความช่วยเหลือ เป็นเวลาทั้งหมด 72 วันบนเทือกเขาที่หนาวเหน็บที่มีชื่อว่า แอนดีส (Andes)
21
ที่สุดแล้วผู้รอดชีวิตจำนวน 16 คน ก็ได้กลับไปเจอครอบครัวและคนรักของพวกเขาอีกครั้ง
7
คาเนสซ่า ได้เล่าความจริงทุกอย่าง ซึ่งโชคดีที่พวกเหล่านั้นทั้งครอบครัวของเขาเองและครอบครัวของผู้เสียชีวิตเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด
15
เขาได้กล่าวว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เขามีชีวิตอยู่คือเพื่อกลับบ้านไปหาครอบครัว
ทำให้เขามีกำลังใจสู้ต่อ
13
"ไม่สำคัญว่าคุณจะมีชีวิตรอดอย่างไร แต่สำคัญที่คุณจะมีชีวิตอยู่รอดเพื่ออะไร"
เป็นสิ่งที่ คาเนสซ่า ท่องให้ขึ้นใจในเวลานั้น
25
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน ต่างใช้ชีวิตในทุกวันอย่างคุ้มค่า พวกเขาหลายคนใช้ชีวิตช่วยเหลือผู้อื่น
17
เช่นเดียวกับ โรเบอร์โต คาเนสซา ที่กลายมาเป็นคุณหมอผู้ช่วยชีวิตเด็กๆ นับไม่ถ้วน
15
เรารอดแล้ว
ในมุมของผู้มองเหตุการณ์เรื่องนี้
ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
7
ในอดีตเราหลายคนอาจจะเคยทำเรื่องที่เรารู้สึกสะอิดสะเอียนเพื่อเอาชีวิตรอด หรืออาจเป็นเรื่องที่เราไม่อยากจดจำ
12
และบางครั้งความรู้สึกผิดนั้น ก็คอยวนเวียนมาตอกย้ำเรามาตลอด แต่ในเวลาเดียวกันเราก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลยที่เราจะกลับไปแก้ไขอะไรได้
10
เพราะฉะนั้นในวันนี้แม้มันจะยาก อุปสรรคจะมากมายแค่ไหน ได้โปรดให้อภัยตัวเอง คิดเสียว่านี่คือชีวิตที่สองแล้ว เรื่องราวคนเก่าในวันนั้นได้จบสิ้นแล้ว
8
และอีกหนึ่งเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงเลยคงไม่ได้
คือเรื่องของความเชื่อ& ความหวัง
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักให้ คาเนสซา มีพลังที่จะสู้ต่อและกลับไปช่วยทุกคนได้ในที่สุด
53
#เขียนนอกกรอบ ขอเสนอคำว่า
ชีวิตเราจงใช้มันในแบบที่คุณ
จะไม่มีวันรู้สึกเสียใจ
10
เพราะเรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดีได้ เราเริ่มมันเลยครับ
15
หากมีประโยชน์ฝากกดไลค์ กดแชร์
คอมเม้นท์ทักทายกันได้นะครับ
#เขียนนอกกรอบ
ขอขอบพระคุณครับ🙏
15/11/2019
13
โฆษณา