18 พ.ย. 2019 เวลา 15:42 • บันเทิง
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย
ภูมิใจเสนอ นิยายกำลังภายในเรื่องแรกของเพจ MovieTalk
"เงาวายุ" บทที่ 2
ความเดิม องครักษ์เงาวายุ อี่ทงฮวง ได้ใช้เส้นทางลับออกไปพบกับ ปราชญ์เมฆา ซื่อหยุน ทั้งสองประลองฝีมือกันฉันท์พี่น้อง ยังมิทันรู้ผลแพ้ชนะ มั้วเง็ก บุตรีบุญธรรมของอ๋องเอี๊ยะได้ขัดขวางก่อน ซึ่งนางตั้งใจจะมาส่งซื่อหยุนที่กำลังเดินทางออกสู่ทะเลใหญ่ตามราชโองการลับของฮ่องเต้
"เงาวายุ" บทที่ 2 'พันธมิตร' ไม่ได้ให้เสียงภาษาไทย
บทที่ 2
ทุกดินแดนย่อมมีงานฉลอง
เป็นงานฉลองสิ้นปี
ทุกสิ้นปีย่อมมีงานฉลอง
แต่งานฉลองสิ้นปี ปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในตำหนักมังกรฟ้า
บรรดาแขกผู้มีเกียรติ แม่ทัพนายกองคนสำคัญ อีกทั้งวาณิชย์ คหบดีต่างก็ทยอยเดินทางมาถึงเบื้องหน้าหอเจดีย์แปดชั้น
ทุกคนก่อนเข้าสู่งาน ต้องผ่านหอปลดศาสตรา มีแต่ต้องทิ้งอาวุธไว้ ณ ที่หอแห่งนี้ก่อน
หอเจดีย์แปดชั้น ตำหนักมังกรฟ้า
ยามสายของวัน ปรากฏขบวนม้าชุดหนึ่ง ผู้คนมากหน้าหลายตา ที่แท้เป็นขบวนอุปรากรนั่นเอง
นายกองใหญ่ยกมือขึ้นห้ามรถม้าข้างหน้า
“พวกท่านโปรดหยุด และแสดงเทียบเชิญก่อน”
นายกองใหญ่
หัวหน้าขบวนที่อยู่บนอาชาสีดำสง่างาม ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ พลางยื่นส่งให้แก่บ่าวรับใช้ตนเอง
บ่าวรับใช้เมื่อรับมาก็วิ่งปราดมายื่นต่อหน้านายกองใหญ่
“อ้อ...ที่แท้เป็นขบวนอุปรากรเคอเล่อที่ได้รับการว่าจ้างมานี่เอง เสียคาราวะแล้ว”
นายกองใหญ่ประสานมือคาราวะ บ่าวรับใช้ของคณะประสานมือคาราวะตอบ
“แต่อย่างไรเพื่อมิให้เสียกฎ เราจำเป็นต้องขอตรวจสัมภาระที่ท่านนำมาด้วย หากมีอาวุธ จำเป็นต้องปลดทิ้งไว้ ณ หอปลดศาสตราก่อน”
บ่าวรับใช้ตอบกลับ “ยกเว้นมิได้หรือตั่วเอี้ย (นายใหญ่) ที่นำมาล้วนเป็นเครื่องเล่นดนตรี และชุดประกอบอุปรากรเท่านั้น”
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น เราก็จำต้องขอตรวจสอบก่อน”
นายกองใหญ่ยืนยันน้ำเสียงแข็งขัน
บ่าวรับใช้หันหน้ามาทาง หัวหน้าคณะที่ยังนั่งสงบบนหลังอาชาสีดำ มั
นผงกศรีษะเป็นเชิงอนุญาต
บ่าวรับใช้ผายมือ “เช่นนั้นเชิญตั่วเอี้ย ตรวจสอบตามต้องการได้”
นายกองใหญ่ หันมาสั่งคนของตนให้ตรวจขบวนกล่องสัมภาระ เมื่อเปิดกล่องแรกเป็นเครื่องดนตรี ขลุ่ย พิณ ขิม ฯลฯ
กล่องที่สองและสาม เป็นภูษา อาภรณ์ เช่นนี้กระทั่งถึงกล่องสุดท้ายเมื่อเปิดออก กลับเป็นอาวุธทวน กระบี่ ดาบ โดยเฉพาะดาบมีหลายเล่มพันด้วยผ้าสีแดง และสามสี่แล่มพันด้วยผ้าสีฟ้า
“พวกท่านต้องปลดอาวุธไว้ที่นี่” นายกองใหญ่เอ่ยขึ้น
บ่าวผู้เดิม เดินมาพลางล้วงมือลงไปหยิบดาบขึ้นมาหนึ่งเล่มด้ามดาบพันไว้ด้วยผ้าสีฟ้า “ตั่วเอี้ย โปรดชมดูก่อน”
บ่าวคนนั้นตวัดดาบใส่แขนตนเองในพริบตา
นายกองใหญ่และคนของมันต่างอุทานด้วยความตกใจ
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แขนยังคงอยู่ติดกับร่างกายของบ่าวคนนั้น
ไม่มีแม้โลหิตไหลออกมา
คณะอุปรากร
บ่าวนั้นแย้มยิ้ม “นี่เป็นเพียงเครื่องมือประกอบการแสดงเท่านั้น หาใช่ดาบจริงอันใดไม่ หากต้องปลดทิ้งไว้ พวกเราคงมิสามารถแสดงลวดงายในคืนนี้ได้เป็นแน่
หรือตั่วเอี้ยกล้ารับผิดชอบ?”
นายกองใหญ่ตบอกฉาดใหญ่ พลางหัวเราะ
“ฮา...เช่นนี้เชิญท่านนำเข้าไปได้ คืนนี้เราจะขอชมดูลวดลายของท่านเป็นขวัญตา ได้ยินว่างดงามตระการตายิ่งนัก”
บ่าวนั้นประสานมือ
“ขอบคุณ ตั่วเอี้ย เช่นนั้นคืนนี้เราคงได้พบกันอีกครา ผู้น้อยขอลาเพื่อเข้าไปตระเตรียมการแสดงคืนนี้”
พูดจบ ปราดมารายงานต่อหัวหน้าคณะ มันใช้ส้นเท้ากระแทกอาชาเบา ๆ หนึ่งครั้ง อาชาแสนรู้จึงก้าวเดินพร้อมกับขบวนอุปรากรจนเลี้ยวหายผ่านประตูอาคารเจดีย์แปดชั้นไปในที่สุด
ภายในห้องแต่งตัวของคณะที่ถูกตระเตรียมไว้
สัมภาระถูกขนลงหมดจากรถม้าแล้ว โดยมีหัวหน้าคณะนิ่งจับตาดูอยู่
พลางเดินไปหยุดยืนหน้ากล่องสัมภาระใบสุดท้าย
หัวหน้าคณะเปิดฝาออก เอื้อมมือลงไปหยิบดาบด้ามพันด้วยผ้าสีแดง โยนส่งให้กับคนในคณะห้าคน
พวกมันทั้งห้าคว้าจับอย่างคล่องแคล่ว พลางพุ่งปราดออกไป
ชั่วกระพริบตา คนทั้งห้าสะบัดดาบออกเพียงครั้งเดียว คมดาบกรีดผ่านหลอดลมของนายทหารทั้งห้านายขาดใจในทันที
บ่าวที่ติดตามยืนเคียงข้างเอ่ยขึ้น
“ดีที่เรามีท่านเป็น ‘ปัญญา’ จึงคิดอ่านแผนเตรียมไว้
ดามปลอมพันผ้าสีฟ้า ดาบจริงพันผ้าสีแดง อาวุธเราจึงไม่ต้องถูกตรวจพบ”
หัวหน้าคณะแท้จริงคือ ไช้ตื๊อเซ้ง (ไช้ = ปัญญา, ตื๊อ = กำจัด, เซ้ง = สำเร็จ)
ผู้นำแห่งขบวนฆ่าเกียอุ้ยนึ้ง (รวมเป็นมนุษย์) นั่นเอง
“พวกเจ้าปลดเสื้อผ้าทหารยามเหล่านั้น แล้วผลัดเปลี่ยนสวมใส่แทน”
กลุ่มสังหาร เกียอุ้ยนึ้ง
“อิ๋วค่า จ๋อคา (ขาขวา, ขาซ้าย) เจ้าทั้งสองนำคนติดตามไป สำรวจดูว่ามีใครหลงเหลืออยู่ภายในตำหนักบูรพาและทักษิณหรือไม่ หากพบทหารนายกองให้สังหารสิ้นมิให้เหลือรอด”
บุรุษศรีษะล้านรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองประสานมือรับคำ พลางเดินออกไปพร้อมกับผู้ติดตามอีกห้าคน
“อิ่วชิ่ว จ๋อชิ่ว (มือขวา, มือซ้าย) พวกเจ้านำกำลังคนอีกห้าคนไปสำรวจตำหนักอุดร และประจิม สังหารให้สิ้นทุกชีวิตที่ยังอยู่ในตำหนัก”
บุรุษกำยำ หนึ่งไว้หนวดเครารกครึ้ม อีกหนึ่งมีรอยบากพาดผ่านกลางใบหน้า ดูไปคล้ายตะขาบตัวใหญ่เกาะบนใบหน้าของมัน ทั้งสองประสานมือ พลางสาวเท้าออกไปพร้อมคนของมัน
งั่งเจง
ไช้ตื๊อเซ้งหันมาเอ่ยกับสตรีที่มีดวงตาชวนลุ่มหลง
“เมื่อถึงเวลาแขกทุกคนนั่งประจำที่ ให้เริ่มดำเนินแผน หน้าที่ของเจ้า งั่งเจง (ดวงตา) คือจับตาอ๋องเอี๊ยะไว้”
งั่งเจงรับคำด้วยท่าทีกระชดกระช้อย
“เอี้ย (เงา) เจ้าปลอมตัวปะปนในกลุ่มแขกผู้มาร่วมงาน ป้องกันมีเหตุไม่คาดคิด”
เอี้ยผงกศรีษะ
กลุ่มสังหาร เกียอุ้ยนึ้ง
ในแถวหน้าที่เหลือประกอบด้วย สตรีปากเป็นกระจับชวนเชื้อเชิญให้จุมพิต,
บุรุษหูกางใหญ่กว่าคนทั่วไป รูปร่างไม่ต่างจากคนแคระ,
บุรุษจมูกใหญ่กว่าคนทั่วไป หน้าตายับยู่ยี่
และ สตรีเรือนร่างร้อนแรงสัดส่วนสมบูรณ์ดุจแกะสลักด้วยศิลปินมือเอก
บุรุษใดหากเมื่อพาบพบย่อมอยากค้นหาความลับภายใต้อาภรณ์ที่นางสวมใส่
“ฉุ่ย (ปาก), ยื่อต๊อ (หู), เฉ่า (จมูก) และ ซิงโท่ย (ลำตัว) พวกเจ้าแยกย้ายตามหน้าที่เรากำหนด ทันที่พลุนัดสุดท้ายดับมอดลงให้คนของพวกเจ้าลงมือได้ทันที”
บุรุษสตรีทั้งสี่ต่างรับคำ
“ทั้งหมดให้เวลาไม่เกินยามสิบต้องกระทำแล้วเสร็จ!”
สายตาของไช้ตื้อเซ้งฉายแววเด็ดขาด และฉายแววอำมหิต หากผู้ใดสบตามันในเวลานี้มีแต่อกสั่นขวัญกระเจิง
ไช้ตื้อเซ้ง
...
มั้วเง็กที่เดินนำหน้าอี่ทงฮวง พ้นออกมาจากอุโมงค์ลับ ที่แท้ทางเข้าออกซ่อนอยู่ด้านหลังของตู้เสื้อผ้าในห้องนอนหนึ่งของตำหนักอุดร
อี่ทงฮวงทรุดนั่งบนเก้าอี้ มั้วเง็กที่ยังคงยืนอยู่ ยกกาน้ำชารินใส่จอกสองใบ พลางกล่าวอย่างแย้มยิ้ม
“อี่เฮีย ข้าพเจ้ารินน้ำชาคาราวะท่านหนึ่งจอก”
อี่ทงฮวงยิ้มเล็กน้อย พลางยกจอกขึ้นจิบ มั้วเง็กที่เวลานี้นั่งลงข้าง ๆ อี่ทงฮวงได้ถามขึ้น
อี่ทงฮวง
“ข้าพเจ้าแม้อยู่ที่นี้มานาน ยังมิเคยรับทราบว่ามีอุโมงค์ลับภายในตำหนักแห่งนี้
อี่เฮียท่านเพิ่งมาถึงมินาน ไฉนทราบ?”
“เป็นบิดาของท่าน บอกกล่าวกับเรา อุโมงค์ลับเหล่านี้เป็นเส้นทางเข้าออกภายใต้ตำหนักทั้งสี่หลัง และหอเจดีย์มังกรฟ้า.. มั้วเง็กท่านเองก็อย่าได้ซุกซนลงไปโดยลำพังเด็ดขาด อุโมงค์เหล่านี้คดเคี้ยว และมีกับดักวางไว้”
มั้วเง็กอดสยิวกายไม่ได้พลางคิดในใจ
“นี่นับว่าโชคช่วยโดยแท้ หากมิได้ผงร้อยก้าวสะกดรอย เราคงต้องยุ่งยากแล้ว”
พลางมั้วเง็กแย้มยิ้มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“อี่เฮีย ท่านจะไปงานฉลองคืนนี้หรือไม่ ได้ยินว่าบิดาว่าจ้างคณะอุปรากรเคอเล่อที่เลื่องชื่อมาแสดงในงานคืนนี้ ต้องน่าชมยิ่ง”
มั้วเง็ก
“หลังจากข้าพเจ้าดูแลความปลอดภัยตามจุดต่าง ๆ แล้ว จึงจะแวะไปได้”
อี่ทงฮวงตอบ
“เช่นนั้น ข้าพเจ้าจะรอคอยท่าน” มั้วเง็กแย้มยิ้มสดใส “ข้าพเจ้าขออำลาไปก่อนแล้ว มีหลายเรื่องต้องตระเตรียม”
อี่ทงฮวงชำเลืองมองมั้วเง็ก เห็นรอยยิ้มนางดั่งแสงอบอุ่นในฤดูเหมันต์
“ตระเตรียมของท่าน คงเป็นเลือกอาภาณ์กระมัง?”
มั้วเง็กหัวร่อคิกคัก “อี่เฮีย รู้ใจข้าพเจ้ายิ่งนัก ท่านคอยชมคืนนี้เป็นไร?”
พูดจบมั้วเง็กก็ประสานมือ กระวีกระวาดจากไป
อี่ทงฮวงเพ่งมองเงาหลังของมั้วเง็กจนหายลับตา พลางทอดถอนใจ
อี่ทงฮวง พลันรู้สึกสัมผัสบางอย่าง
บางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
คล้ายไม่ถูกต้อง แต่อี่ทงฮวงไม่ทราบ ที่ใดคือไม่ถูกต้อง
หรือเป็นแค่ความกังวลใจของตนเอง
ภายนอกแม้อากาศหนาวเหน็บ แต่กลับสงบเงียบ สงบจนเกินไป
ความสงบที่คล้ายสงบจนเกินไป มักนำมาซึ่งเค้าลางบางประการ
เค้าลางที่ก่อตัว
มักนำมาซึ่งเหตุเภทภ้ย
เภทภัยมักก่อตัวภายหลังจากทุกอย่างสงบเงียบ
ในทะเลก็เป็นเช่นนั้น
บนแผ่นดินก็เช่นกัน
นั่นคือเภทภัยพิบัติ
มนุษย์ยากต้านฝืน หรือทำนายล่วงรู้
แต่เภทภัยจากน้ำมือของมนุษย์อาจนำหายนะมาสู่ผู้คน
เพียงเป้าประสงค์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
โลกใบนี้จะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย
มักมีผู้คนที่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน
และยอมทำทุกทางโดยไม่เกี่ยงวิธี...
หรือเภทภัยนี้จะร้ายแรงกว่า
รุนแรงกว่า...
....
โปรดติดตามตอนต่อไปในบทที่ 3 เร็ว ๆ นี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา