27 พ.ย. 2019 เวลา 00:13 • ประวัติศาสตร์
หากพูดถึง “กูลิโกะ” แล้ว แทบทุกคนจะต้องรู้จัก
ว่ามันคือแบรนด์ขนมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
แต่วันนี้ผมไม่ได้จะมารีวิวถึงขนมแต่อย่างใด
แต่จะเล่าถึงคดีปริศนาที่เกี่ยวของกับกูลิโกะ
จนใครๆ หลายคนเรียกว่า “คดีกูลิโกะ”
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1984 ที่ประเทศญี่ปุ่น
ได้เกิดเหตุระทึกขวัญ ชายใส่หน้ากาก 2 คน
พร้อมอาวุธปืนไรเฟิลได้บุกเข้าไปจับตัวประธานบริษัทผลิตขนมกูลิโกะ
ขณะกำลังอาบน้ำในบ้านต่อหน้าครอบครัว
และจับขังเขาทิ้งไว้ในโกดัง
พร้อมส่งจดหมายเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านเยน
และทองคำหนัก 100 กิโล ถ้าไม่ส่งจำนวนเงินดังกล่าวมา
ก็พร้อมที่จะฆ่าประธานทิ้ง ในจดหมายพวกโจรได้เรียกตัวเองว่า
"The Monster with 21 Faces”
หรือ สัตว์ประหลาด 21 หน้า
1
http://theunexplainedmysteries.com/Monster-With-21-Faces.html
แต่ทว่า 3 วันต่อมา ประธานบริษัทก็ได้หาหนทางหลบหนี
รอดออกมาจากคลังสินค้าที่อยู่นอกเมืองโอซาก้ามาได้
http://theunexplainedmysteries.com/Monster-With-21-Faces.html
แต่เรื่องมันไม่ได้จบเพียงแค่นี้ ที่ลานจอดรถของสำนักงานใหญ่
บริษัทผลิตกูลิโกะได้ถูกวางเพลิง ทางตำรวจได้เข้ามาสอบส่วน
เพื่อหาจุดเชื่อมโยงและแรงจูงใจต่างๆ
จนมีจดหมายถูกส่งไปยังสถานีตำรวจ
ใจความจดหมายพูดว่าพวกเขาได้ทำการวางยาพิษไซยาไนด์
ลงในขนมกูลิโกะหลายที่ในประเทศแล้ว
จดหมายเหล่านี้ยังได้ถูกส่งไปยังสื่อมวลชน
ทำให้ประชาชนทั่วไปแตกตื่นกลายเป็นข่าวใหญ่โตมาก
จากจดหมายที่ส่งขู่มานี่ทำให้ตำรวจสั่งให้ทางบริษัทกูลิโกะ
ดึงสินค้าออกมาจากชั้นวางขายทั่วประเทศ ส่งผลให้ต้องสูญเสียเงินไป
มากกว่า 21 ล้านเหรียญ และยังต้องเลิกจ้างพนักงานนอกเวลาอีก 450 คน
ทางตำรวจได้ทำการสืบสวนหาหลักฐานจนมาเจอ
หลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิดที่บันทึกภาพชายคนหนึ่ง
ท่าทางแปลกๆ กำลังหยิบกล่องขนมกูลิโกะออกมาจากกระเป๋าตัวเอง
มาวางที่ชั้นวางขายขนมกูลิโกะ ทั้งๆ ที่ชายคนนั้นไม่ได้เป็นพนักงานขายของทางร้าน
คลิปวีดีโอนี้จึงเป็นเบาะแสเดียวของทางตำรวจ
ที่คิดว่าชายคนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ The Monster with 21 Faces
http://theunexplainedmysteries.com/Monster-With-21-Faces.html
หลังจากนั้น สัตว์ประหลาด 21 หน้า ก็ได้ส่งจดหมายมาอีกหลายฉบับ
ใจความคือเยาะเย้ยการทำงานตำรวจ ที่ยังไงก็จับพวกเขาไม่ได้
จนมีจดหมายอีกฉบับส่งมาว่า
พวกเขาเลิกยุ่งก่อกวนกูลิโกะแล้ว
แต่จะเข้าไปก่อกวนบริษัทอาหาร Marudai Ham แทน
อันเป็นบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอีกบริษัทแทน
แต่ถ้าจะให้พวกเขาจะหยุดการก่อกวน
หยุดการวางยาทุกอย่าง
หากพวกเขาได้รับเงิน 50 ล้านเยน
แต่วิธีของพวกเขาก็คือ การให้พนักงานบริษัท Marudai นำเงิน 50 ล้านเยน
ขึ้นบนรถไฟความเร็วสูง แล้วเมื่อผ่านสถานีที่มีธงให้สัญญาณสีขาว
ขึ้นมาก็ให้โปรยเงินลงมาจำนวนหนึ่งทุกๆ สถานีที่มีธงสัญญาณ
1
2 วันหลังจากจดหมายถูกส่งมาขู่
ทางตำรวจได้ปลอดตัวเป็นบริษัท Marudai
แล้วนำเงิน 50 ล้านเยนขึ้นรถไฟไป
แต่ระหว่างเดินทางก็ไม่พร้อมว่าสถานีไหนจะมีการชูธงสัญญาณ
ให้โปรยเงินลงไป พบเพียงแต่ชายผู้ต้องสงสัยท่าทางแปลกๆ
ที่อยู่ในรถไฟแทน เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่สวมหมวกใส่แว่นกันแดด
ตำรวจจึงได้ประสานงานที่จะมาล้อมจับเมื่อรถไฟมาถึง
ที่โตเกียว แต่เมื่อรถไฟมาถึงทางตำรวจ
ก็หาชายคนนั้นไม่พบแต่อย่างใด
จากการที่ตำรวจบนรถไฟได้เห็นหน้าชายผู้ต้องสงสัย
บวกกับภาพวีดีโอจากกล่องวงจรปิดที่จับได้ตอนวางขนมกูลิโกะบนชั้นในตอนแรก
จึงได้ทำการสเก็ตภาพหน้าเหมือนออกมา
ซึ่งหน้าตาที่ได้ก็เป็นผู้ชายญี่ปุ่นที่หน้าตาเหมือนคนทั่วไป
แต่มีลักษณะเด่นที่ดวงตาแหลมเหมือนตาจิ้งจอก
http://isaacmeyer.net/tag/glico-morinaga/
แต่แล้วก็มีจดหมายจาก สัตว์ประหลาด 21 หน้า
ถูกส่งไปให้แม่บ้านทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยเนื้อหาบอกว่า
พวกเขาได้วางยาพิษไซยาไนด์ลงขนม 20 กล่อง
ในร้านขายขนมแล้ว โดยไม่บอกว่าวางยาที่ขนมอะไร
และไม่ได้บอกว่าที่ไหนด้วย ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของแม่บ้าน
ว่าไม่ปลอดภัยในการซื้อขนมให้ลูก ชาวบ้านจึงออกมากดดันตำรวจ
ตำรวจจึงต้องรีบออกมาตรวจสอบกันให้วุ่นในแต่ละร้าน
เพื่อหากล่องขนมที่ต้องสงสัย
ว่าเป็นขนมที่ถูกวางยา ซึ่งตำรวจก็พบกล่องขนม
ต้องสงสัยอยู่ 10 กล่องเพียงเท่านั้น
แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดเหตุร้ายแต่อย่างใด
ด้วยการที่ทางตำรวจถูกกดดันอย่างหนักทั้งจากชาวบ้าน
และสื่อต่างๆ ว่าต้องจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้
ทำให้เกิดความเครียด ความกดดันที่ยังไม่สามารถ
หาตัวคนร้ายได้ ทำให้นายตำรวจญี่ปุ่นผู้รับผิดชอบคดีนี้
เครียดหาทางออกไม่ได้ จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง
เป็นการรับผิดชอบด้วยการเผาตัวเองจนตาย
ภายหลังการตายของนายตำรวจผู้นั้น
สัตว์ประหลาด 21 หน้าจึงได้ส่งจดหมายมาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง
โดยมีใจความว่า นายตำรวจผู้นั้นตัดสินใจผิดที่จบชีวิตตัวเอง
จากการที่ถูกพวกเขาปั่นหัว จุดประสงค์ของพวกเขา
ก็แค่เพียงกลั่นแกล้งแบรนด์ขนมใหญ่ๆ อย่างกูลิโกะ
จากการที่ในโลกทุนนิยมที่มีช่องว่างระหว่างชนชั้น
ไม่ได้จะหวังมุ่งร้ายเอาชีวิตแต่อย่างใด พวกเขาจึงขอแสดงความเสียใจ
กับนายตำรวจผู้นั้นมา ณ ที่นี้ และพวกเขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า
จะเลิกกลั่นแกล้งแบรนด์ขนม แบรนด์อาหารใหญ่ๆ ทั้งหลาย
จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก
ถ้ายังมีการขู่คุกคามอีกก็ไม่ได้มาจาก
สัตว์ประหลาด 21หน้าแต่อย่างใด
เป็นเพียงแค่คนทำเลียนแบบ
3
หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ขู่คุกคามบริษัทขนมบริษัทอาหารอีก
และเหตุการณ์นี้มาถึงปัจจุบันก็ผ่านมาแล้ว 35 ปี
แต่ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถจับผู้ต้องสงสัยมาได้เลย
จนคดีได้หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ปี 2000
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงก็จริง
ติดอันดับความปลอดภัยสูงที่สุดในโลกเป็นประจำ
แต่มันก็ไม่ได้ 100% ทุกอย่าง
ทุกที่ย่อมมีดีและไม่ดี
จะด้วยเพราะเป็นเมืองที่มีวินัยและการแข่งขันกันสูง
จนทำให้คนในเมืองเครียด กดดัน จนนำไปสู่
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น
แม้เหตุการณ์ที่แท้จริงเราจะไม่รู้ว่า
การวางยาในขนมหรือในอาหารนั้น
เป็นความจริง หรือ เป็นเพียงขู่เพื่อให้เกิดความปั่นปวนเฉยๆ
แต่เราก็ควรระมัดระวังป้องกันตัวเองไว้ในระดับหนึ่งเองด้วย
เวลาซื้อขนม ของกิน หรืออาหารบนชั้นวางขาย
หากพบกล่องที่มีลักษณะไม่ได้ปิดกล่องดี หรือซีลให้เรียบร้อย
เราก็ไม่ควรซื้อมาทาน เพราะมันอาจมีการใส่ยา
จากผู้ไม่หวังดีเกิดขึ้นได้ ตัวเราเองจึงต้องหัดสังเกต
ขนมอาหารที่เราจะกินไว้เป็นทางป้องกันตัวเราเองในระดับหนึ่ง
เพราะต้องไม่ลืมว่า
ในที่ที่มีแสงส่องมาก็ย่อมมีเงาเกิดขึ้นมาเสมอ
ในทีที่มืดมิดแสงที่ส่องลงมาก็สว่างจ้าที่สุดได้เช่นกัน
มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่เราอาศํยอยู่...
อ้างอิงจากบทความ
หากชื่นชอบบทความ
ฝากกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์
เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ
ปั่นเรื่อง เป็นภาพ
โฆษณา