9 ธ.ค. 2019 เวลา 07:30 • บันเทิง
วันเวลาแสนคลั่งของนกไร้ขา และคนเหงา Days of Being Wild
ฉายในฮ่องกงและเก็บเงินได้ราวๆ เก้าล้านกว่าเหรียญฮ่องกง หากมองว่านี่คือหนังหว่องการ์ไว Days of Being Wild ไม่ใช่งานที่น่าผิดหวัง เมื่อทำเงินในระดับเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆ ของผู้กำกับเจ้าของผลงานที่มีบรรยากาศและโทนอารมณ์เฉพาะตัว แต่ถ้าดูถึงทีมนักแสดงที่มีทั้ง เลสลี จาง, หลิว เต๋อ หัว, จางม่านอี้, เหลียงเฉาเหว่ย, จางเซียะโหย่ว ซึ่งล้วนเป็นหัวแถวของวงการภาพยนตร์ฮ่องกงยุคนั้น Days of Being Wild ไม่พ้นน่าผิดหวัง
หากท้ายที่สุดหนังก็เอาชนะกาลเวลา เป็นหนึ่งหนังในตำนานยุครุ่งเรืองของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง ได้รับการยกย่องทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม ที่ยังคงนึกถึงหนังเรื่องนี้เสมอ เมื่อพูดถึงหนังที่ว่าด้วยชีวิตผู้คนที่โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา ใช้ชีวิตราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้ ไม่ต่างจากธนูที่ถูกยิงออกไป โดยปราศจากเป้าหมายอะไรจริงๆ จังๆ เมื่อรวมเข้ากับการเล่าเรื่องที่มีบรรยากาศ และโทนอารมณ์เฉพาะตัว ทำให้ 'รู้สึก' ไปกับภาพ-เสียง-ความเป็นไปของตัวละคร มากกว่าจะทำให้ 'ฉุกคิด' โดยเฉพาะในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่แทบไม่รู้จักกัน หากก็พยายามมองหาบางสิ่งบางอย่างเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว
Days of Being Wild ไม่ยากเลยที่จะเข้าไปอยู่ในหัวใจของพวกเขา
ต่อให้จะเหมือนนำเอาชีวิตของตัวละครหลากหลายเข้ามาปะติดปะต่อกัน ในแบบที่เห็นทั้งรอยต่อที่ไม่เนียนสนิท รวมทั้งสะดุดกับร่องรอยที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก็ตามที
หว่องการ์ไวก็มีบางอย่างที่ทำให้ผู้ชมจมไปกับเรื่อง ละเลยสิ่งที่น่าตำหนิได้อย่างสนิทใจ
ชีวิตผู้คนมากมายในหนัง มีศูนย์กลางอยู่ที่ยกใจ๋ หนุ่มผู้ไม่อินังขังขอบกับอะไร ผู้ชายที่ดูโหยหาความรัก แต่ก็พร้อมจะมีและปล่อยไป ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะการที่ถูกแม่แท้ๆ ทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ส่งผลให้เขาไม่ยอมไปไกลในความสัมพันธ์ และเธอก็เป็นสิ่งที่ค้างคาในความรู้สึกของยกใจ๋มาทั้งชีวิต
ขณะที่ชีวิตของคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวพันหรือมีบทบาทรอบๆ ตัว อย่าง หญิงสาวขายเครื่องดื่มที่สนามกีฬา, สาวบาร์ที่มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต, เพื่อนสนิทที่แอบปิ๊งผู้หญิงของเขา, อดีตตำรวจที่ไปเป็นกะลาสี, แม่เลี้ยงที่หวังเจอผู้ชายดีๆ และแม่แท้ๆ ที่ปล่อยเขาจากชีวิตตั้งแต่เกิด ล้วนมีบทบาทในชีวิตยกใจ๋แตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน ก็ได้การแสดงและการวางลักษณะตัวละคร ที่กลมกลืนกับบรรยากาศซึ่งถูกสร้างด้วยภาพและเสียง จนอยู่ในความทรงจำของผู้ชมได้ ต่อให้บางคนอาจจะไม่มีใครรู้จักหรือจำชื่อได้ก็ตาม
นั่นก็คือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้
แล้วในบทที่ราวกับเป็นการปะชุนหยาบๆ ก็คือฝีเข็มที่สวยงามของบทสนทนา ที่มี 'ประโยคทอง' ของหนัง ที่เป็นความงดงามที่ล้อไปกับภาพและเสียงเพลงตลอดจนดนตรีประกอบได้อย่างมีจังหวะจะโคน
“ผมได้ยินมาว่า มีนกชนิดหนึ่งที่ปราศจากขา มันทำได้แค่บินแล้วก็บิน นิทราในสายลมเมื่อรู้สึกเหนื่อย มันจะโผลงดินเพียงครั้งเดียวในชีวิต… นั่นก็คือยามมันตาย" หนึ่งในประโยคทอง ซึ่งยกใจ๋พูดถึงนกชนิดหนึ่ง ที่นอกจากฟังสวย แต่ยังนิยามตัวละครเจ้าของคำพูดไปในคราวเดียวกัน
เพราะนับจากที่เห็นตั้งแต่นาทีแรกในการปรากฏกายไปถึงวินาทีสุดท้ายที่ปรากฏตัว ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากนกตัวนั้น บิน… บิน… แล้วก็บิน เพื่อจะพานพบแล้วปล่อยผ่าน เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่สามารถโบกโบยไปกับชีวิตของเขา จนอาจรู้สึกว่ายกใจ๋คิดกับสิ่งเหล่านั้นเหมือนของคลายเหงา หรือสร้างสีสันให้ชีวิตบางชั่วบางคราว แต่ถ้าจะบอกว่าชีวิตเขาไร้จุดหมาย ก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยก็ยังพยายามหาคำตอบเรื่องผู้ให้กำเนิด หรือบางทีอาจจะหมายถึงความรัก ซึ่งเปรียบได้กับแสงสว่างเดียวในชีวิต ที่เมื่อดับหรือหายวับไป ก็ทำให้เขาโบกบินไปแบบไร้ทิศทางอย่างแท้จริง และยังขยับปีกโดยไม่สนแรงกำลัง ไม่นึกถึงสภาพรอบข้างอีกต่อไป
ในบางมุมชีวิตของคนอื่นๆ ก็ละม้ายกับยกใจ๋ แต่จากบทสรุปพวกเขาและเธอ แค่คล้ายแต่ไม่ใช่ สิ่งเดียวที่ไม่แตกต่างก็คือทุกคนต่างต้องการใครบางคนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในสนามกีฬาที่หนึ่งนาทีของเธอกับเขา เป็นทั้งเวลาแสนโรแมนติคและช่วงชีวิตที่เจ็บปวดในเวลาต่อมา
“หนึ่งนาทีก่อนสามโมงเย็นของวันที่ 16 เมษายนปี 1960 คุณอยู่กับผม เพราะคุณ… ผมจะจดจำหนึ่งนาทีนั้น นับจากนี้เราเป็นเพื่อนกันชั่วหนึ่งนาที นี่คือความจริงที่คุณปฏิเสธไม่ได้" ยกใจ๋บอกกับเธอ และจากหนึ่งนาที เวลาค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้น หากในที่สุด ชีวิตที่ต้องโบยบินอยู่ตลอดเวลาของเขาก็ทำให้ความสัมพันธ์นั้นจบลง เขาและเธอต้องอยู่อย่างอ้างว้างอีกครั้ง
“ฉันมักคิดถึงหนึ่งนาทีที่เคยผ่านไป แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้ผ่านไปไหน ครั้งหนึ่งมีคนชี้ไปที่นาฬิกาและบอกกับฉัน เพราะนาทีนั้นตอนนั้น จะทำให้เขาจดจำฉันไว้เสมอ ราวกับมนตร์สะกดที่ได้ยินอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันมองนาฬิกาแล้วบอกตัวเองว่า ฉันต้องลืมผู้ชายคนนี้ เริ่มตั้งแต่นาทีนี้"
ถึงต่อให้มีคนที่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกัน อย่างสาวบาร์คนนั้น ชะตากรรมก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไป หรือบางทีนี่อาจจะไม่ใช่ความรักที่เขาต้องการ
ท้ายที่สุดต่อให้จะวางหัวใจไว้ใต้ปีกของผู้ชายคนนี้หรือไม่ บทสรุปก็ไม่ต่างกัน เป็นคนที่ไม่ใช่ในเวลาที่ถูก หากบางคนบางคู่ พวกเขาเป็นคนที่ใช่ในเวลาที่ผิด เช่น ตำรวจหนุ่มกับพนักงานสาวจากสนามกีฬา ที่โชคชะตาให้มาเจอกันในช่วงวลาที่ต่างก็ต้องการใครสักคน แต่เมื่อเธอยังมีตะกอนในใจ เขาก็กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ และเมื่อเขาต้องเดินจากไปตามชะตา เธอก็กวาดทุกอย่างทิ้งพร้อมเปิดรับใครพอดี แต่เวลาที่ 'ถูก' มันเดินผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
หรือบางคนก็ไม่ใช่ทั้งที่ทั้งเวลา อย่าง เพื่อนสนิทยกใจ๋กับสาวบาร์คู่รักของเขา
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ล้วนพยายามตามหาความรัก และไม่ใช่ทุกคนที่พยายามรักษาหรืออย่างน้อยก็ใยดีมัน ท่ามกลางช่วงวันเวลาแห่งความบ้าคลั่ง ความรักคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชม (หรือตัวละครในหนัง) โลดแล่น เพื่อเติมเต็มบางอย่างให้ชีวิตที่ขาดแคลน โหยหา และเรื่องราวที่เป็นชิ้นๆ ดูไม่ปะติดปะต่อของหนัง ก็ไม่ผิดจากอารมณ์ของตัวละคร ที่ไม่มีใครได้พบความสมบูรณ์ของชีวิตหรือความรัก แถมเต็มไปด้วยริ้วรอยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต
ซึ่งสัมผัสได้ชัดจากตัวตนของตำรวจหนุ่มที่เปลี่ยนไป เมื่อกลายเป็นกะลาสีในท้ายที่สุด
แม้จะเต็มไปด้วยคนเหงา ความรู้สึกหม่นๆ ที่อยู่ในตัวเรื่องกับตัวคน Days of Being Wild กลับไม่ใช่งานที่ทึมซึม หากเป็นไปตรงกันข้ามด้วยซ้ำ จากแสงสีที่เคลือบตัวละครและเรื่องราว มุมกล้องที่ขุดความเหงาได้ลึกถึงก้นบึ้ง ทำให้ความอ้างว้างที่ปรากฏกลายเป็นความสวยงาม และเมื่อเสริมด้วยบทเพลงและดนตรีประกอบที่มากไปด้วยความรื่นรมย์ โดยเฉพาะงานของซาเบียร์ คูกาท์ อย่าง "Perfidia”, “Maria Elena” หรือ "You Belong to My Heart” จาก Los Indios Tabajaras
Days of Being Wild ก็คือความเดียวดายอย่างโรแมนติค ที่ใครๆ ให้นิยามกัน

(หมายเหตุ: Days of Being Wild กลับมาฉายอีกครั้งที่โรงภาพยนตร์ House Samyan ที่สามย่านมิตรทาวน์ เช็ครอบฉายได้ที่เฟซบุค House Samyan)
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง วันเวลาแสนคลั่งของนกไร้ขา และคนเหงา Days of Being Wild คอลัมน์ หรรษา วันจันทร์ - HAPPY MONDAY หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos
มาดูหนังโคตรไม่ทำเงิน ที่คว้ารายได้ไปแค่ไม่ถึง 400 เหรียญในอเมริกา มีหนังเรื่องอะไรบ้างที่อาภัพขนาดนี้ เช็คชื่อกันได้... >> https://www.blockdit.com/articles/5dbfd5ca7e17630ce23bba60
โฆษณา