6 ม.ค. 2020 เวลา 14:58 • บันเทิง
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย
ภูมิใจเสนอ นิยายกำลังภายในเรื่องแรกของเพจ MovieTalk
“เงาวายุ” บทที่ 8
ความเดิม
อี่ทงฮวงได้ทานยาพหูโอสถเพื่อรักษาอาการบอบช้ำและฟื้นฟูกำลังภายในกลับมาดังเดิม หลังจากหายเป็นปกติได้ใช้เส้นทางลับไปตำหนักทักษิณเพื่อหวังจะใช้เรือหลบออกไปขอกำลังทหารจากป้อมพิทักษ์แดนใต้ แต่เรือทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ว
ที่นั่นอี่ทงฮวงต้องเผชิญหน้ากับจ๋อคา มือสังหารที่มีวิชาระฆังทองคุ้มครองกาย และกำลังภายในเป็นรองแค่ไช้ตื้อเซ้งเท่านั้น แม้จะทำลายดวงตาของจ๋อคาได้ แต่จ๋อคาก็ท้าให้อี่ทงฮวงประลองฝ่ามือเป็นตายกับตนเอง ขณะนี้ทั้งสองเตรียมที่จะใช้ฝ่ามือขั้นสุดยอดเข้าปะทะกันแล้ว
“เงาวายุ” บทที่ 8 พันธมิตร ไม่ได้ให้เสียงภาษาไทย
การต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะ ผลเป็นตายในฝ่ามือเดียว กระบวนท่าเดียวของสองยอดฝีมือ นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจสะเทือนฟ้าสะท้านดินจริง ๆ
ยามนี้สมาธิของทั้งสองล้วนหยุดนิ่งลง รอคอยเวลาที่จะปลดปล่อยพลังทั้งมวลออกมาในครั้งเดียว
เป็นท่านสงบ
เป็นเรานิ่ง
ต่างฝ่ายต่างทุ่มเทสมาธิและลมปราณไว้ท่าฝ่ามือ
ร่างของทั้งสองนิ่งงันคล้ายรูปปั้น สภาวะแวดล้อมใด ๆ ล้วนไม่ใส่ใจอีกต่อไป
เมื่อถึงที่สุด เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างจะยุติลง
และในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง
จ๋อคาสะบัดฝ่ามือออก แผ่พุ่งกำลังภายในทั้งหมดออกไป!
ที่ใช้ออกเป็นกระบวนท่าสุดยอดของมัน
"ฝ่ามือคู่ทลายบรรพต"
อานุภาพกร้าวแกร่งเปี่ยมพลังยิ่งกว่าทุกครั้ง ลมปราณจากฝ่ามือซ้ายและขวาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พุ่งเสียดอากาศเข้าใส่อี่ทงฮวง
จ๋อคา
อี่ทงฮวงสะบัดฝ่ามือออก แผ่พุ่งกำลังภายในทั้งหมดออกไป!
ยามนี้อี่ทงฮวงใช้ออกด้วยพลังลมปราณอันล้ำลึก
ถึงกับเป็นกระบวนท่าไม้ตายที่ชั่วชีวิตตนเองไม่เคยใช้ออกมาเลย
“ฝ่ามือประสานร้อยวายุ”
กระแสพลังลมปราณแผ่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วทั้งสิบ และกลางฝ่ามือของอี่ทงฮวง ดูไปคล้ายกับคลื่นมังกรสิบสองตัวบินถลาออกมา ลมปราณทั้งสิบสองหมุนวนกันเป็นเกลียวคลื่นลูกใหญ่
เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท เสียดแก้วหู
พื้นดินพื้นหิน เศษสิ่งก่อสร้างถูกพลังลมปราณทั้งสองฝ่ายทำลายล้างเกิดเป็นกลุ่มควันฝุ่นผงลอยคละคลุ้งปกคลุมรอบบริเวณ
ทันทีที่ควันจางลง ตำหนักด้านข้างของทั้งสองถูกทำลายหายไปแถบหนึ่ง
พื้นตรงกลางระหว่างทั้งสองปรากฏหลุมใหญ่แผ่วงกว้างกั้นกลางไว้
ปลายของหลุมทั้งสองฟาก ยืนตระหง่านไว้ด้วยเงาร่างของสองคน
ริมฝีปากของจ๋อคา โลหิตค่อย ๆ ไหลซึมออกจากปาก แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้ม
เป็นแย้มยิ้มอย่างพอใจ
สภาพร่างกายจ๋อคาตั้งตระหง่านดุจคันทวน ร่างกายแน่นิ่ง ไม่ไหวติง
ไม่กระทั่งลมหาย ที่แท้จ๋อคาสิ้นชีพไปในลักษณะนี้
อี่ทงฮวงกระอักโลหิตคำโตออกมา ร่างทรุดลง ถึงกับต้องนัดขัดสมาธิ โคจรลมปราณที่ปั่นป่วนภายใน
ชั่วครู่ใหญ่ สีหน้าอี่ทงฮวงเริ่มเป็นปกติ
อาการบอบช้ำจากพลังฝ่ามือแม้หนักหน่วง แต่ดูสรรพคุณของพหูโอสถที่ยังมีฤทธิ์อยู่ ช่วยเร่งฟื้นฟูลมปราณ และรักษาอาการบอบช้ำภายใน
อี่ทงฮวง
อี่ทงฮวงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหยัดอีกครั้ง
อี่ทงฮวงอาจจะล้มลง อาจจะล้มลงบ่อยครั้ง
แต่ทุกครั้งอี่ทงฮวงจะลุกขึ้น และยืนหยัดได้เสมอ
นี่คือ...อี่ทงฮวง
ยามนี้อี่ทงฮวงเพ่งตามองดูจ๋อคา มองดูใบหน้าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ดวงตาของจ๋อคาปิดสนิท ใบหน้าเกรอะกรังด้วยโลหิตที่ไหลซึมจากดวงตา บนปากปรากฏรอยยิ้ม สีหน้าคล้ายสงบคล้ายพึงพอใจ
พอใจที่ได้ตายด้วยน้ำมือคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าตน
สำหรับจ๋อคา มันเป็นหนึ่งเดียวที่แตกต่างจากทุกคนในกลุ่มสังหารเกียอุ้ยนึ้ง
จ๋าคาทุ่มเทฝึกปรือฝีมือเพื่อให้สูงล้ำ และเป็นสุดยอด แต่ตลอดชีวิตของจ๋อคาค้นหาคู่ปรับที่เหนือล้ำกว่าตนเอง นี่คือเหตุผลของงนักสู้ที่แท้จริง
มีชีวิตเพื่อพิสูจน์เป็นตาย และได้ตายด้วยผู้ที่เหนือล้ำกว่าตน
วิถีของนักสู้
“อภัยให้ข้าพเจ้าด้วย”
อี่ทงฮวงประสานมือคาราวะเบื้องหน้าของจ๋อคา
อี่ทงฮวงทั้งชื่นชม และเลื่อมใส ตลอดชีวิตที่ท่องยุทธจักร ไม่เคยมีศัตรูคนใดบังคับให้อี่ทงฮวงใช้กระบวนท่าลับนี้ออกมาได้เลย
ไม่มีแม้แต่คนเดียว!
พลังฝ่ามือประสานร้อยวายุ เมื่อฝีกปรือสำเร็จ อี่ทงฮวงก็ไม่เคยใช้ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ทั่วยุทธจักรจึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้
อี่ทงฮวงถอนหายใจ ค่ำคืนนี้ตนเองเหนื่อยล้าอย่างที่สุด
โดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่สุด
ความหวังที่จะใช้เรือไปขอความช่วยเหลือเป็นอันจบสิ้น
ไม่มีหนทางได้ความช่วยเหลือใดอีกแล้ว
เหลืออี่ทงฮวงผู้เดียว
เป็นผู้เดียวก็ต้องกระทำ...ต้องหยุดยั้งเกียอุ้ยนึ้งที่เหลือให้หมด
อี่ทงฮวงนับจำนวนคู่ต่อสู้ที่ล้มตายลง เอี๊ย, จ๋อชิ่ว, อิ๋วชิ่ว, อิ๋วคา และจ๋อคา รวมแล้ว 5 ชีวิต
แขนซ้าย แขนขวา ขาซ้าย ขาขวา และ เงาถูกตัดขาดจากร่างแล้ว
ที่ยังเหลือคือ ฉุ่ย (ปาก), ยื่อต๊อ (หู), เฉ่า (จมูก), ซิงโท่ย (ลำตัว), งั่งเจง (ดวงตา) และ ไช้ตื้อเซ้ง (ปัญญา)
ในจำนวนนี้ที่ยากรับมือที่สุดคือ ไช้ตื้อเซ้ง!
....
ซิงโท่ยรุดมาถึงตำหนักทักษิณในช่วงเวลาที่อี่ทงฮวง และจ๋อคาต่างผนึกสมาธิลมปราณเพื่อพิสูจน์ผลเป็นตาย
เมื่อทุ่มเทสมาธิ จึงไม่ได้ทราบมีบุคคลอื่นรุดมาถึงที่นี่
ซิงโท่ย
แต่ซิงโท่ยเมื่อมาถึง ก็มิกล้าพอที่จะเข้าไปลอบทำร้ายอี่ทงฮวงในช่วงเวลานั้น
ยามที่ยอดฝีมือผนึกลมปราณ กระแสพลังจะหลอมรวมกับร่างกาย ดังนั้นหากลอบเข้าจู่โจม ย่อมอาจถูกกระแสพลังนั้น กระแทกทำร้ายจนบอบช้ำได้เช่นกัน
แต่ประการที่ซิงโท่ยไม่ลงมือ มิใช่กังวลจะบาดเจ็บแต่เป็นเพราะ...
นางพึงใจในรูปลักษณ์ของอี่ทงฮวง เค้าหน้าอันหล่อเหลาคมคาย รูปร่างที่สมส่วน
เมื่อซิงโท่ยต้องตาบุรุษใดแล้ว นางจะต้องครอบครองในบุรุษผู้นั้นให้ได้
หากสมความปรารถนาแล้วนางจึงจะสังหารบุรุษนั้น
ซิงโท่ยมีความมั่นใจประการหนึ่ง นางมั่นใจว่านางคือสตรีเลอโฉมที่สุดในสามอิสตรีแห่งเกียอุ้ยนึ้ง
ถึงกับมั่นใจว่านางเลอโฉมที่สุดในแดนดิน!
ความงามที่บุรุษเพศมิอาจต้านทานได้ ภายใต้อาภรณ์ของนางไม่สามารถปิดบังความร้อนแรงดังเปลวเพลิงได้
บุรุษนับร้อยนับพันล้วนสยบแทบเท้านาง กระทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองนาง
ถึงกับเข่นฆ่าประหารต่อกันเพื่อนาง
ซิงโท่ยชมชอบดูบุรุษฆ่าฟันกันเพื่อนาง มันคือสิ่งยืนยันความงามล้ำที่สุดของนาง
ยามนี้บุรุษงามอยู่เบื้องหน้า ซิงโท่ยได้แต่ครุ่นคิด ในที่สุดนางก็คิดออก บนใบหน้าอันงดงามของซิงโท่ยปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ ยั่วยวนชนิดหนึ่ง
ซิงโท่ยลงมือแล้ว!
แต่ที่ซิงโท่ยลงมือคืออาภรณ์บนเรือนร่างของนาง
ซิงโท่ยจงใจฉีกกระชากเสื้อผ้าของนางบางส่วน
ส่วนที่ควรเปิดเผย ที่บุรุษพึงต้องการเห็น นางกลับปิดบัง
ส่วนที่ไม่ควรเปิดเผย นางกลับฉีกกระชากออกเผยให้เห็น
หัวไหล่กลมมนขาวผ่องดุจดั่งมุกงาม
ช่วงเอวคอดอ้อนแอ้นขาวละมุนละลานตา
เพียงเท่านี้ ซิงโท่ยมั่นใจว่า เพียงพอแล้ว
ซิงโท่ยรู้ดีว่า บุรุษคือบุรุษ บุรุษมีจินตนาการ และจินตนาการของบุรุษคือเครื่องมือที่นางใช้ประสบผลเสมอ
สภาพของซิงโท่ยยามนี้คล้ายถูกลวนลามจากโจรร้ายที่ฉีกกระชากอาภรณ์เพื่อย่ำยีนาง
ซิงโท่ยที่สะอึกสะอื้น ร่ำไห้เสียงสั่นเครือ ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว ขดตัวเป็นก้อนกลม หลบอยู่ในมุมมืด
อี่ทงฮวง
อี่ทงฮวงได้ยินเสียงร่ำไห้ของอิสตรีแล้ว!
แต่อี่ทงฮวงไม่วางใจ ยังคงผนึกลมปราณตระเตรียมพร้อมป้องกันหรือจู่โจมทุกเมื่อ พร้อมกับสาวเท้าไปตามทิศทางของเสียง
อี่ทงฮวงเห็นแล้ว ที่เห็นคือเงาร่างอ้อนแอ้นซุกกายขดตัวอยู่ในมุมมืดข้างกระถางต้นไม้ใหญ่ ร่างกายสั่นเทาอย่างตื่นกลัว
ซิงโท่ยเงยหน้าขึ้น เมื่อพบเห็นอี่ทงฮวงนางรีบผวา วิ่งหนีด้วยควาตื่นตระหนก
ปากก็ร่ำร้องว่า
“อย่า...อย่าทำร้ายข้าพเจ้าเลย ได้โปรดเถอะ...”
“ช้าก่อนโกวเนี้ย...” อี่ทงฮวงใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเป็นมิตรห้ามปรามสตรีนางนั้น
“อย่าได้ตื่นตระหนก ข้าพเจ้าไม่คิดทำร้ายท่าน โกวเนี้ยโปรดวางใจ”
ซิงโท่ยแสดงท่าทีคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าคล้ายสงสัย คล้ายระแวงหลายส่วน อี่ทงฮวงเห็นแล้วรู้สึกสงสารจึงเอ่ยขึ้น
“ท่านอย่าได้ตกใจไป ข้าพเจ้าเป็นองครักษ์พิทักษ์อ๋องเอี๊ย”
สตรีนางนั้นคล้ายเบาใจลง แต่สีหน้ายังคลางแคลงใจ
“ข้าพเจ้าขอรับประกันด้วยเกียรติ โกวเนี้ยปลอดภัยแล้ว”
สตรีนางนั้นร่ำไห้อีกครั้ง เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้น
“ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับโกวเนี้ย?”
นางเล่าพลาง สะอึกสะอื้นพลาง
“ข้าพเจ้ากำลังจะถูกคนโฉดชุดดำสองคนย่ำยี พอดีไม่ทราบเกิดอันใดขึ้น
พวกมันทั้งสองต่างผละจากไปอย่างเร่งรีบ ข้าพเจ้าคิดจะฉวยโอกาสหลบหนีออกมา แต่จนใจที่ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวถนัด
รอกระทั่งครู่ใหญ่ข้าพเจ้าจึงพอสามารถเคลื่อนไหวได้ อาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกมา แต่รอบบริเวณไม่ทราบควรจะไปทิศทางใด"
"ยังมีพวกคนโฉดเหล่านั้นซุกซ่อนที่ใดบ้าง ได้แต่อาศัยเงามืดข้างกระถางใหญ่อำพรางกาย หวังจะรอดพ้นจากพวกมัน”
“กระทั่งกงจื้อเป็นคนพบก่อน หากเป็นพวกมันแล้ว ข้าพเจ้าคง...”
นางไม่ได้กล่าวต่อ ก้มหน้านิ่งเงียบ คล้ายสะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัวอยู่ภายใน
อี่ทงฮวงแย้มยิ้มกล่าวกับสตรีเบื้องหน้า
“ข้าพเจ้าคิดว่าคนโฉดเหล่านั้นถูกกำจัดหมดแล้ว”
“เป็นความจริงหรือ?” ซิงโท่ยแสร้งแสดงสีหน้าชวนฉงน
อี่ทงฮวงผงกศรีษะ
สตรีนางนั้นประสานมือคาราวะอี่ทงฮวง
“ขอบพระคุณท่านแล้ว หากไม่ได้กงจื้อ ไม่ทราบข้าพเจ้าจะมีชะตากรรมเช่นไร...”
เอ่ยถึงตอนนี้ นางก็หยุดพูดคล้ายกล้ำกลืนไว้
อี่ทงฮวงดูออกรีบกล่าวว่า
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย เห็นคนประสบภัย ข้าพเจ้าย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือ”
“จะอย่างไร กงจื้อนับว่ามีพระคุณต่อข้าพเจ้ายิ่งนัก ข้าพเจ้าเหมยเหมยยินดีเป็นข้ารับใช้กงจื้อไปชั่วชีวิต” เหมยเหมยแย้มยิ้มแล้ว
อี่ทงฮวงเห็นใบหน้าเหมยเหมยยามนี้ ผิวขาดผุดผ่องต้องแสงจันทร์ ใบหน้าแย้มยิ้มที่ดวงตายังมีเนื้อเอ่อคลอ ช่างงดงามยิ่งนัก อดสะท้านใจไม่ได้ ถึงกับยืนตะลึงลานคล้ายรูปปั้นศิลา ยามนี้แม้จะแนะนำตัวเองยังเต็มไปด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“ข้าพเจ้าอี่ทงฮวง โกวเนี้ยอย่าได้กล่าวรุนแรงเยี่ยงนั้น”
เหมยเหมยพยายาม ขยับแขนขา บิดหัวไหล่ลำคอ ท่วงท่าของนางเผยให้เห็นผิวพรรณขาวผ่องดุจไข่มุก กระทั่งร่องรอยตรงที่อาภรณ์ถูกฉีกกระชากก็คล้ายเปล่งประกาย จนต้องจับจ้องมองตาม
อี่ทงฮวงยืนมองอากัปกริยาของนางแล้วคล้ายต้องมนต์ ถึงกับยืนนิ่งงันเลื่อนลอย
เหมยเหมยหันมาแย้มยิ้ม รอยยิ้มที่คล้ายยั่วยวน น้ำเสียงที่ชวนเคลิบเคลิ้ม
“กงจื้อ ยามนี้ข้าพเจ้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว ข้าพเจ้ารบกวนท่านช่วยพยุงได้หรือไม่”
อี่ทงฮวงคล้ายตกในภวังค์ เดินเข้าไปหาเหมยเหมยอย่างเซื่องซึม
ได้ยินเสียงชวนเคลิบเคลิ้มของเหมยเหมยเอ่ยถาม
“กงจื้อประคองข้าพเจ้าได้หรือไม?”
อี่ทงฮวงผงกศรีษะ “ข้าพเจ้ายินดีประคองท่าน”
“กงจื้อโอบอุ้มข้าพเจ้าได้หรือไม่?”
“ข้าพเจ้ายินดีโอบอุ้มท่าน”
อี่ทงฮวงประคองช้อนร่างอ้อนแอ้นของเหมยเหมยไว้ในอ้อมแขนของตนเอง
กลิ่นกายหอมจรุงจนอี่ทงฮวงสูดซับได้
ยามนี้คล้ายร่างอ้อนแอ้นมีพลังดึงดูดมหาศาล
เหมยเหมยอิงแอบซบอกของอี่ทงฮวง เสียงกระเส่า
“กงจื้อโอบอุ้มข้าพเจ้าไปที่ห้องนั้นเถิด...” นางชี้มือไปยังห้องนอนที่ด้านขวามือ
“ข้าพเจ้ายินดีโอบอุ้มท่านไปที่ห้องนั้น...”
อี่ทงฮวงที่อุ้มร่างของเหมยเหมย หรือแท้จริงคือซิงโท่ย เดินละลิ่วตรงไปที่ห้องนอนนั้นคล้ายดั่งต้องมนต์
อี่ทงฮวงใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก สาวเท้าเดินจนถึงข้างเตียง
ค่อย ๆ บรรจงวางเรือนร่างที่ร้อนแรงของซิงโท่ยลงบนเตียง
ยามนี้ที่ทอดกายบนเตียงคือเรือนร่างสมส่วน คล้ายรูปสลัก คล้ายนางฟ้ามาจุติ
นอนทอดกายอยู่ตรงเบื้องหน้า
เรือนร่างของซิงโท่ยบิดไปมา ไม่มาก ไม่รุนแรง แต่คล้ายร้อนแรง คล้ายเชื้อเชิญ
เสียงของซิงโท่ยครางกระเส่า กล่าวกับอี่ทงฮวง
“กงจื้อ...
ท่านก็...
มาเถอะ...”
อี่ทงฮวงโน้มตัวลงแล้ว...
อี่ทงฮวงโน้มตัวลงหาซิงโท่ยแล้ว...
อาวุธที่ร้ายกายที่สุดของสตรีคือสิ่งใด?
คือใบหน้า?
คือเรือนร่าง?
คือวาจา?
หาใช่ที่กล่าวมาไม่
อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของสตรีคือการใช้จินตนาการของบุรุษ
คือความต้องการของบุรุษ
คืออาวุธทรงอาณุภาพ
บุรุษต้องการสิ่งใด นางพาลทำตรงกันข้าม
เรียกร้องให้บุรุษยิ่งทวีความต้องการมากขึ้น
เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
เหล่าบุรุษล้วนยอมแลกมาอย่างทุ่มเท
คิดทำความเข้าใจอิสตรี
ท่านยิ่งไม่มีความเข้าใจในอิสตรีเท่านั้น
เพราะหากท่านเข้าใจอิสตรี
ชีวิตท่านยังคิดจะมีความสุขหรือ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, The Arbuturian, theiapolis.com, tumblr.com, alamy.com, nytimes.com, variety.com, thecoast.ca, chinesedrama.info

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา