8 ม.ค. 2020 เวลา 12:19 • บันเทิง
Repost เรื่องสั้น : คำอำลา
ฉันยืนนิ่งจ้องมองดูรูปผู้หญิงคนหนึ่ง รูปนั่นถูกวางอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีสด เธอในภาพมียิ้มจางๆ ดูราวกลับพยายามฝืนยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ รอยย่นที่หางตา ผมสีเทาจางแทรกในสีดำสลับกันดูยุ่งเหยิง ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพขาวดำ แต่รอยแผลเป็นบนใบหน้าข้างขวานั้นยังสังเกตุได้อย่างชัดเจน
ผู้คนต่างแวะเวียนมาบอกลาและขออโหสิกรรมเธอเป็นครั้งสุดท้าย หลายคนซุบซิบกันกลางงานศพเลยด้วยซ้ำว่า ดีแล้วที่เธอจากโลกนี้ไปเสีย อยู่ไปก็รังแต่จะทรมานเสียเปล่า นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่อาจทำให้เธอหลุดพ้นจากสภาพเดิมๆ ที่วนเวียนหลอกหลอนเธอมานานหลายสิบปี
ฉันโกรธนะที่ได้ยินพวกเขาคุยกันอย่างนั้น พวกเขามีสิทธิ์อะไรจะมาตัดสินว่าใครควรจาก ใครควรอยู่ หรือเขารู้ได้อย่างไรว่าคนเป็นทุกข์กว่าคนตาย หรือคนตายสบายกว่าคนเป็น
ฉันยกมือขึ้นไหว้แม่อีกครั้ง น้ำตาฉันไหลเมื่อนึกถึงภาพในวันนั้น ในวันที่เราไม่มีโอกาสได้คุยกันเหมือนเดิมอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่แม่จากโลกนี้ไปอย่างถาวรและตลอดไป
"แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พลอยทำตัวแบบนี้" แม่พูดแทรกขึ้นกลางความเงียบที่อึมครึมในรถคันเก่าเหม็นอับที่เรามีใช้อยู่คันเดียวทั้งบ้าน
"แม่เคยบอกแล้ว ย้ำแล้ว ว่าลูกควรตั้งใจเรียน ไม่ใช่ทำแบบนี้" แม่พูดเสียงดังกว่าเดิมมองมองฉันตาเขม็งผ่านกระจกมองหลัง ฉันรู้ดีเพราะแม่ทำแบบนั้นประจำ
"แม่เสียใจมากนะที่พลอยไม่เคยเชื่อแม่เลย ไม่รู้เหรอว่ารักในวัยเรียนมันไม่ยั่งยืนหรอก" แม่เสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีก
"ทำไมเหรอค่ะ แม่กลัวหนูจะเป็นเหมือนแม่ใช่ไหม" ฉันสวนไปด้วยความอดทนที่หมดเกลี้ยง
แล้วความเงียบก็มาปกคลุมแทนที่ในทันที
รถติดเป็นแถวยาวเหยียด ทั้งๆ ที่เวลาก็ดึกพอควรเกือบสามทุ่มสี่สิบห้าแล้ว แต่ที่แม่ต้องขับรถออกมารับเพราะฉันเป็นคนโทรตาม
เหตุผลคือเพื่อนชายร่วมชั้นมัธยมของฉัน ที่ชวนฉันมาทำงานกลุ่มที่บ้าน เพื่อนคนอื่นกลับกันไปหมดแล้ว เขาชักชวนให้ฉันอยู่ทำงานจนเสร็จ และอาสาจะไปส่งที่บ้านเอง แต่ทุกอย่างผิดพลาดตรงที่เขาเข้ามาสวมกอดฉันจากด้านหลัง แล้วพยายามเอามือล้วงมาจับหน้าอก
ฉันร้องไห้วิ่งออกจากบ้านเพื่อนมาหลังจากคว้ากระเป๋านักเรียนสีดำฟาดไปที่หน้าเพื่อนเลว ๆ คนนั้นอย่างจัง ซึ่งที่ร้องไห้จริง ๆ อาจไม่เพราะแค่ตกใจ แต่อาจเพราะเสียใจมากกว่าที่ฉันเคยคิดว่า...ชอบเขา
ฉันวิ่งเหงื่อแตกกาฬไปจนเจอตู้โทรศัพท์ กดโทรหาแม่ พยายามกลบเสียงตื่นตระหนกนั่น บอกเพียงว่ามาทำรายงานจนลืมเวลาและรถเมล์แถวนี้ก็ไม่วิ่งแล้ว
แม่ต้องทิ้งร้านอาหารตามสั่งและลูกค้าเต็มร้านออกมารับฉัน พอแม่มาถึงสีหน้าตึงเครียดนั่นทำฉันใจคอไม่ดีเลย และซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่อแม่รู้ว่าฉันมาทำรายงานจนดึกดื่นที่บ้านเพื่อนชายจนเหลือกันลำพังแต่สองคน และแม่คงพอรู้ว่าฉันแอบชอบเขาอยู่เหมือนกัน ฉันจึงไม่ปริปากเรื่องเขาทำอะไรอีกเด็ดขาด นั่นจะทำให้ทุกอย่างยุ่งยากกว่าเดิมแน่
ฉันไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกรึว่าแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่หาเลี้ยงฉันจนโตโดยขายอาหารตามสั่งตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืน ส่วนพ่อฉันเหรอ ทิ้งแม่ตั้งแต่ฉันยังไม่คลอด ด้วยเหตุผลที่เขาบอกแม่ว่า "เขาไม่พร้อม" ตอนนั้นแม่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสาม และชีวิตของแม่ก็ถูกหยุดเหมือนนาฬิกาที่ตายแล้วตั้งแต่วันนั้น
คงไม่ต้องเล่าต่อแล้วใช่ไหมว่ามุมมองความรักของแม่เป็นแบบไหน มันก็ไม่แปลกที่บทสนทนาในรถคืนนั้นจะจบลงแบบนั้นตอนฉันพูดถึงเรื่องอดีตของแม่
แม่น้ำตาไหล แต่ไม่ส่งเสียงสะอื้นแม้เพียงน้อย แม่เช็ดน้ำตาซ้ำ ๆ แต่ดูทีท่าว่ามันไม่เห็นจะหยุดเลย ฉันเห็นทุกอย่างผ่านกระจกมองหลัง แล้วฉันก็ร้องไห้
"ลูกคิดว่าผู้ชายวัยแค่นี้มันจะรู้จักเหรอว่าความรักกับชีวิตจริงมันเป็นยังไง" แม่พูดแต่ตามองเหม่อไปไกล
"แม่ผิดหวังจริงๆ ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูก แต่ลูกไม่เคยเชื่อสิ่งที่แม่พร่ำบอกเลย"
รถยังติดยาวเป็นหางว่าว ไฟท้ายสีแดงส่องเป็นแนวราวกับงานประดับไฟในเทศกาลสำคัญ แต่เปล่าเลย ไม่มีความบันเทิงใจใด ๆ ในเวลานี้
"แม่ หนูจะเดินกลับบ้าน" ฉันเปิดประตูออก ปิดประตูโครมแล้วจ้ำเท้าเดินออกไปตามแนวรถที่ติดยาวเหยียด
"พลอย กลับมานี่ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ" แม่เปิดประตูแล้วตะโกนไล่หลังมา
"พลอย!" แม่ตะโกนเสียงดังลั่น
เสียงแตรรถด้านหลังบีบดังระงม รถข้างหน้าเคลื่อนตัวแล้ว แม่ได้แต่ก้มหัวหงึกหงักให้รถด้านหลัง แล้วกลับเข้าไปหลังพวงมาลัย ส่วนฉันเดินร้องไห้ไปตามบาทวิถีที่ตอนนี้ไร้ร้างผู้คน
เกือนสี่ทุ่มแล้ว ชาวบ้านเข้าบ้านเตรียมตัวพักผ่อน ส่วนฉันเป็นนักเรียนประหลาดที่เดินร้องไห้ดุ่มๆ อยู่ข้างถนนตอนสี่ทุ่มกลางมหานครที่จอแจแต่ในใจกลับอ้างว้างเหลือเกิน
ใจฉันคิดแค่ว่า ฉันเสียใจที่ทำให้แม่โกรธและร้องไห้ แต่ก็ปากหนักเกินกว่าที่ขอโทษออกไป ที่เอ่ยถึงอดีตที่เลวร้ายของแม่ไปแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่ฉันเสียใจตลอดมา และเสียใจยิ่งกว่าที่ไม่ได้ขอโทษแม่และบอกท่านว่า ความจริงฉันภูมิใจและรักท่านขนาดไหนที่ทุ่มเมทุกอย่างเพื่อฉันจริง ๆ
"แม่หนูขอโทษ" ฉันเอามือเอื้อมไปจับไหล่หญิงชราในขุดสีขาวบริสุทธิ์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ท้ายแถวในมุมมืดของศาลาสวด
"หนูรอแม่นานมาก นานมากจริง ๆ ที่จะบอกว่ารักและคิดถึงแม่ขนาดไหน หนูขอโทษ" ฉันสวมกอดเธอจากด้านหลัง รู้สึกถึงน้ำตาที่หยดลงบนแขน น่าแปลกที่รู้สึกแบบนั้นได้
"พลอยลูกแม่ แม่คิดถึงหนูมากรู้ไหม" แม่เอามือมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนที่สุด
ฉันเดิมอ้อมมาด้านหน้า มองแม่อย่างเต็มตาพร้อมน้ำตาที่อาบหน้าไปหมด
"เจ็บไหมแม่แผลที่หน้าตอนนั้น" ฉันเอามือลูบแผลเป็นที่หน้าแม่อย่างเบามือ
"เด็กโง่ แม่จะเจ็บไปกว่าหนูได้ยังไงพลอย" ตอนนี้แม่ร้องไห้ยิ่งกว่าตอนอยู่บนรถตอนนั้นอีก ร้องยิ่งกว่าตอนอยู่โรงพยาบาล ร้องพอ ๆ กับตอนที่ไปรับศพฉันที่หน้าห้องดับจิต ร้องพอ ๆ กับตอนที่เปิดดูหน้าฉันครั้งสุดท้ายก่อนจากกันนิรันด์ในทางกายภาพ
"ไม่เป็นไรนะแม่ หนูอยู่นี่แล้ว รอแม่อยู่นานมากเลยนะ ต่อไปนี้ หนูจะอยู่กับแม่ตลอดเลย สัญญานะ" ฉันนั่งลงสวมกอดแม่ที่เอวจนแน่น แม่ยิ้มทั้งน้ำตาพลางลูบหัวฉันเหมือนตอนยังเด็ก
ถ้ามีใครเห็นเราแม่ลูกกอดกันคงตกใจไม่น้อย เพราะฉันยังอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนคืนนั้น ผิดแต่มันไหม้เกรียม ผิวหนังของฉันลอกหลุด เผยเห็นเนื้อบวมสีแดง ผมไหม้จนเกรียมแทบไม่เหลือ ผลจากเปลวไฟมหึมาที่พุ่งตรงมาตามถนนในคืนวันที่รถแก๊สคว่ำตรงถนนเพชรบุรี ที่รถติดยาวเหยียดคืนนั้นเอง แม่รอดมาได้เพราะอยู่ในรถห่างออกไปแต่ก็ได้แผลไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่หน้ามาด้วย ส่วนฉันนอนหายใจโรยรินที่ข้างถนน นานทีเดียวกว่าความโกลาหลจะจางลงจนมีคนมาเอาร่างฉันไปโรงพยาบาล แต่นั้นก็สายไปเสียแล้ว
แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันโอเคแล้ว แต่พวกคุณล่ะ ตอนที่ยังมีโอกาส ถนอมน้ำใจกัน ขอโทษในความผิดเพียงเล็กน้อย อภัยในความผิดแม้ใหญ่หลวง เพราะพรุ่งนี้อาจไม่มีโอกาสนั้นสำหรับคนที่เรารักแล้วก็เป็นได้
ฉันกับแม่คงต้องไปก่อน หวังว่าพวกคุณจะเรียนรู้จากเรื่องของเราบ้าง อย่าลืม..ทำเสียตอนที่ยังมีเวลา เรามีเวลาที่จะรักน้อยเหลือเกิน อย่าเสียเวลากับความโกรธและเสียใจเลย เชื่อฉันเถอะ เชื่อฉัน
เรื่องนี้ขออุทิศให้ผู้สูญเสียทุกคนในเหตุการณ์รถแก๊สระเบิด เมื่อ วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2533 ครับ
โฆษณา