22 ม.ค. 2020 เวลา 12:09 • ประวัติศาสตร์
วันนี้ในประวัติศาสตร์
"สวัสดี" เพื่อนๆ ทุกท่าน
ทราบกันหรือไม่ว่า วันที่ 22 มกราคม 2486 เป็นวันที่ ประเทศไทยของเรา ใช้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ
โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีนโยบายนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ซึ่งต่างประเทศ ก็มีคำทักทายกันทั้ง กู๊ดมอร์นิ่ง กู๊ดไนท์ ต่างๆ ของไทยก็เลยเลือกใช้คำว่า "สวัสดี"
จริงๆแล้ว พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) บัญญัติคำว่า "สวัสดี" ขึ้นในราว พ.ศ. 2477-2478 เพื่อให้นิสิตใช้ทักทายครู และทักทายกัน ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระยาอุปกิตศิลปสาร (ซ้าย) จอมพล ป. (ขวา) Cr. Tnews
คำว่า "สวัสดี" มาจากภาษาบาลี คำว่า "โสตฺถิ" หรือ "สฺวสฺติ" ในภาษาสันสกฤต
"โสตฺถิ" มีรากศัพท์มาจาก สุ บวกกับ อัตถิ โดยคำว่า สุ แปลว่า ดี ส่วน อัตถิ แปลว่า มีหรือมีอยู่
รวมแล้วก็แปลว่า "มีดี"
พระท่านใช้คำว่าโสตถินี้ อวยพรให้กับญาติโยมมาตั้งแต่โบราณแล้ว
การใช้คำว่า สวัสดี หรือ "มีดี" ในการทักทายกันนั้นก็น่าคิด เป็นการเตือนใจว่า "เรายังมีดีอยู่รึเปล่า"
มีดี ไม่ได้หมายถึง การเป็นคนเก่ง มีความสามารถหรือพิเศษกว่าคนอื่น แต่หมายถึง เราทำสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มีศีลธรรม หลีกเลี่ยงการทำชั่ว
Cr. nkhomkhum.com
อย่างไรก็ตามมีเกร็ดน่ารู้ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคำว่า "สวัสดี" ว่า หากแปลจากคำว่า "โสตฺถิ" ในภาษาบาลี ก็จะมีความหมายในทางที่ดีอย่างที่เล่าไปตอนต้น
แต่หากแปลจากคำว่า "สฺวสฺติ" อาจแปลได้ว่า "ความรุ่งโรจน์ ความเจริญ ความสุกสว่าง" แต่ดูเหมือนว่า ความรุ่งเรืองนั้นได้มาด้วยการใช้อำนาจและความก้าวร้าวต่อผู้อื่น
ซึ่ง จอมเผด็จการอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ชื่นชอบคำว่า "สฺวสฺติ" นี้มาก และยังนำสัญลักษณ์สวัสดิกะ มาเป็นเครื่องหมายของพรรคชาติสังคมนิยม ของเขาอีกด้วย
สวัสดิกะ Cr.ข่าวสด
ึคำว่า สวัสดี นี้มีความหมายแฝง ที่ลึกซึ้ง ด้านหนึ่งคือ การอ่อนน้อมถ่อมตน ทำดี เว้นความชั่ว ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ การใช้อำนาจยกตนข่มผู้อื่น...
ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด สำหรับคำทักทายที่เราพูดกันทุกวันอย่างคำว่า สวัสดี
ส่งท้ายด้วยข้อคิดจาก พระอาจารย์มหาคารม อุตฺตมปญฺโญ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสุวรรณโคมคำ ที่ว่า
"แข่งกันดีได้ดีทุกคน แต่ถ้าแย่งกันดีไม่ได้ดีสักคน"
ตัวอย่างเช่น เวลาที่เราทำงาน หาก "แข่ง" กันทำ "ดี" ทำผลงาน โดยไม่ขัดแข้งขัดขากันเอง บริษัทก็จะเจริญเติบโตได้
แต่หาก "แย่ง" กันทำดี มีข้อมูลอะไรก็ไม่บอกกัน เพราะกลัวคนอื่นได้ดีกว่า หากเป็นแบบนี้ทั้งบริษัท ก็คงนับวันปิดบริษัทได้เลย...
เพื่อนๆ ว่าจริงไหม?
💡ไม่อยากพลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ และกลยุทธ์ทางธุรกิจ
กดติดตาม "นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า"
และ เชิญเข้าร่วมกลุ่มผู้นำเข้าส่งออก ได้ที่ http://bit.ly/2OYDbxL
โฆษณา