เมื่อย้อนไปดูรายได้ของหนังสองตอนก่อนหน้า ซึ่งดิสนีย์ดูแลหลังซื้อลูคัสฟิล์มมาไว้ในมือ The Rise of Skywalker แพ้ทั้ง The Last Jedi - 220 ล้านเหรียญในปี 2017 และ The Force Awakens - 248 ล้านเหรียญในปี 2015 กับการที่ The Force Awakens เป็นหนัง Star Wars เรื่องใหม่เรื่องแรกในรอบหลายๆ ปี และเป็นหนังเรื่องแรกในไตรภาค การเอา The Rise of Skywalker ไปเทียบอาจไม่ยุติธรรมนัก แต่กับ The Last Jedi ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2017 และแบ่งผู้ชมเป็นสองขั้วในตอนออกฉายคล้ายๆ กัน The Rise of Skywalker ทำรายได้เริ่มต้นน้อยกว่าร่วมๆ 45 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ดิสนีย์ออกมาเล่นเกมปกป้องความเสียหาย ด้วยการบอกว่าพวกเขามองว่าหนังน่าจะทำเงินแค่ 160 ล้านเหรียญ และหนังจะไปต่อยอดรายได้จากช่วงวันหยุดยาวที่กำลังมาถึง ซึ่งก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอย่าลืมว่าหนังเปิดตัวฉายในช่วงเวลาที่ไม่ต่างไปจากหนังสองภาคแรก และนั่นก็มองช็อตต่อไปได้เลยว่า ในสัปดาห์ต่อไป The Rise of Skywalker จะทำรายได้ขนาดไหนโดยอาศัยรายได้ที่หนังสองเรื่องก่อนหน้าจากชุดเดียวกันได้รับเป็นฐาน
รายได้นอกอเมริกา ก็ถือว่าสั่นคลอนไม่แพ้กัน The Rise of Skywalker ทำรายได้ 198 ล้านเหรียญ ต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ว่าหนังจะเปิดตัวในตลาดต่างประเทศที่ระดับ 250 ล้านเหรียญ ถึงเมื่อดูรายได้รวมทั่วโลกหนังจะทำเงินในสัปดาห์แรกไป 354 ล้านเหรียญ แต่เมื่อเทียบกับหนังสองภาคก่อน The Force Awakens และ The Last Jedi ขณะที่หนังเรื่องแรกทำได้ 529 ล้านเหรียญ และเรื่องหลังเปิดตัวที่ 451 ล้านเหรียญ ชัดเจนว่า The Rise of Skywalker มีอาการน่าเป็นห่วง
ยิ่งไปกว่านั้น รายได้เปิดตัวทั่วโลกของ The Rise of Skywalker ยังแพ้ Beauty and the Beast - 357 ล้านเหรียญ, Frozen II - 358 ล้านเหรียญ, Black Panther - 371 ล้านเหรียญ และ Iron Man 3 - 371 ล้านเหรียญ นั่นคือหนังที่จัดจำหน่ายโดยดิสนีย์ทั้งหมด แต่กระทั่งหนังที่ไม่น่าจะเอาชนะหนังเรื่องสุดท้ายของ Star Wars ได้อย่าง Spider-Man 3 ก็ยังทำเงินไปถึง 382 ล้านเหรียญ, ส่วน Transformers: The Dark of the Moon ก็เปิดตัวด้วยรายได้ 382 ล้านเหรียญในปี… เอ่อ… 2011 และ Batman v Superman: Dawn of Justice ก็ทำเงินในสัปดาห์แรกถึง 423 ล้านเหรียญ
ตอนนี้ดิสนีย์คงทำอะไรกับรายได้ในสัปดาห์แรกไม่ได้แล้ว บทวิจารณ์, การพูดคุย และการวิเคราะห์ทะยอยออกมาต่อเนื่อง สตูดิโอคงต้องมองไปข้างหน้าถึงช่วงวันหยุดยาวๆ และหวังว่าหนังน่าจะทำได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ที่ทำให้หวั่นๆ ก็คือ คะแนนซีนีมาสกอร์ของ Star Wars: The Rise of Skywalker ได้แค่บีบวก อีกครั้งที่ไม่ใช่คะแนนน่าห่วงสำหรับหนังทั่วๆ ไป แต่สำหรับ Star Wars มันคือเรื่องที่ไม่ควรสบายใจ เพราะว่าคะแนนได้มาจากผู้ชมในวันเปิดตัว และผู้ชมในวันเปิดตัวของหนังอย่าง Star Wars คือใคร คำตอบก็คือ แฟนพันธุ์แท้ของหนัง!!! นึกอะไรออกไหม
มาดูคะแนนซีนีมาสกอร์ของหนัง Star Wars เรื่องก่อนๆ หน้าที่ดิสนีย์จัดจำหน่าย เพื่อจะได้เห็นภาพชัดๆ กันดีกว่า The Force Awakens – เอ, Rogue One – เอ, The Last Jedi – เอ และ Solo – เอลบ กระทั่งหนังที่แฟนๆ ผิดหวังยังได้เอลบ งานนี้ The Rise of Skywalker ที่ได้บีบวก สถานการณ์ในสัปดาห์ต่อๆ ไป น่าจะหน้าสิ่วหน้าขวานไม่น้อย
รายได้สุดท้ายทั่วโลกของหนัง Star Wars ในสมัยของดิสนีย์ Star Wars: The Force Awakens ทำเอาไว้ถึง 2.07 พันล้านเหรียญ, Star Wars: The Last Jedi – 1.33 พันล้านเหรียญ, Rogue One: A Star Wars Story – 1.06 พันล้านเหรียญ และ Solo: A Star Wars Story – 393 ล้านเหรียญ
ดูแล้วThe Rise of Skywalker น่าจะเอาชนะ Solo ได้ไม่ยาก เพราะแค่รายได้เปิดตัวก็เกือบจะถึงแล้ว และกับเวลาที่เหลืออีกไม่น้อยฟ้ายังคงไม่ถล่มทะลายแน่ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ และหนังชุดนี้ อย่างน้อยๆ รายได้ระดับพันล้านน่าจะทำได้ และคงเอาชนะ Rogue One ได้ด้วย แต่คำถามคือ มากกว่าแค่ไหน?
ถ้า The Rise of Skywalker ไม่ใช่หนังหลักในชุด ก็คงมองรายได้ทั่วโลกระดับ Rogue One มากกว่าจะไปถึง The Force Awakens แต่ไม่ต้องถึงตัวแชมป์ เอาแค่ The Last Jedi ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมองว่า หนังเรื่องสุดท้ายของพวกสกายวอลเกอร์จะกลายเป็นความน่าผิดหวัง ทั้งในมุมของนักวิจารณ์และรายได้
ไปๆ มาๆ อนาคตของหนังชุดนี้กลับกลายอยู่ในสภาพอึมครึม ถ้าลูคัสฟิล์มมอง The Last Jedi เป็นงานที่น่าผิดหวัง เมื่อแบ่งแฟนออกเป็นสองกลุ่ม และพยายามแก้ไขด้วย The Rise of Skywalker ตัวเลขรายได้ของมันแสดงอะไรบางอย่างออกมาให้เห็นแล้ว นี่ไม่ใช่แค่บอกว่าแฟนๆ เริ่มเฉยชากับ Star Wars แต่ยังบอกด้วยว่าขาประจำก็น่าจะอิ่มกับหนังชุดแล้วใช่ไหม? ขณะที่รายได้ในจีนก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลยสำหรับหนังชุดนี้ ควรจะมีการยกเครื่องเรื่องราวของ Star Wars เพื่อดึงดูดผู้ชมในจีนหรือคนที่ไม่ใส่ใจกับสกายวอลเกอร์หรือเจไดไหม? หรือลูคัสฟิล์มน่าจะหาทางออกด้วยการทำหนังตอนก่อนรวมไปถึงหนังที่นำเสนอเรื่องของตัวละครที่รู้จักกันดีแทน?
มองย้อนไปถึงตอน Star Wars: A New Hope เปิดตัวฉายในปี 1977 ไม่เคยมีภาพยนตร์ที่ขึ้นจอในแบบเดียวกัน ปรากฏให้เห็นมาก่อน นี่คือหนังเกรดบี ที่ใช้ประโยชน์จากโปรดัคชันของหนังเกรดเอ และการเล่าเรื่องที่เยี่ยมยอดอย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดมันกลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมหาศาลในแบบที่หาหนังเรื่องไหนๆ เทียบได้ยาก และอย่างหนึ่งที่ต้องปรบมือให้ก็คือ พล็อตที่ย่อยมาให้ผู้ชมแล้วเรียบร้อย ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใดของโลก
ก่อนการมาถึงของยุคหนังบล็อคบัสเตอร์ Star Wars กลายเป็นผู้ชี้ช่องทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตัวละครหลักๆ ของหนัง ลุค, เลอา, บิวเบ็คกา, ฮัน โซโล, ซี-ธรีพีโอ และอาร์ทูว์-ดีทูว์ ปรากฏให้เห็นทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบนเสื้อยืด, กล่องอาหาร, ชุดผ้าปูที่นอน, เป็นแรงบันดาลใจให้กับของเด็กเล่น และต่อมา… สวนสนุก Jaws, The Godfather และ The Sound of Music หนังเหล่านี้ล้วนมาก่อน Star Wars และมีลักษณะของหนังในแบบบล็อคบัสเตอร์ เมื่อทุบสถิติยอดขายตัวเป็นว่าเล่น แต่ A New Hope คือหนังที่สร้างแม่พิมพ์ให้กับหนังบล็อคบัสเตอร์ทั้งหลายได้เดินตาม ถึงจะมีหนังโคตรฮิตหลายๆ เรื่องก่อนหน้านี้ที่มีภาคต่อ แต่ Stars Wars สร้างสิ่งที่เข้าถึงผู้ชมวัยทีนได้มากกว่า และขายสินค้าพ่วงหนังได้ง่ายกว่า รวมไปถึงช่วยเพาะพันธุ์ผู้ชมยุคอินเตอร์เน็ต และสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่าง Indiana Jones กับJurassic Park, Harry Potter และ Fast and the Furious
การมาถึงของ Rise of Skywalker เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกว่า การออกฉายของหนังเป็นการเปิดช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำหรับธุรกิจภาพยนตร์ และสำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลกภาพยนตร์อีกครั้ง รายได้เปิดตัว 175 ล้านเหรียญ อย่างที่บอกแม้จะมาก หากก็เป็นรายได้เปิดตัวที่น้อยที่สุดจากหนังสามเรื่องล่าสุดในชุด ต่ำกว่า The Force Awakens เมื่อปี 2015 ที่ทำไว้ 248 ล้านเหรียญ และ The Last Jedi ในปี 2017 - 220 ล้านเหรียญ ความสนใจที่มีต่อหนังชุดนี้จะว่าไปแล้วเริ่มลดต่ำลงด้วยซ้ำไป เมื่อหนังตอนแยก Solo: A Star Wars Story ที่ออกฉายในปี 2019 ทำในสิ่งที่ใครคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หนัง Star Wars เรื่องแรกที่ขาดทุน คำวิจารณ์ออกมาในทางที่ว่า หนังน่าเบื่อ และไม่ชัดเจนว่าอนาคตของ Star Wars จะอยู่บนจอใหญ่ แผนที่จะทำไตรภาคของไรแอน จอห์นสัน ผู้กำกับของ The Last Jedi การพัฒนาตกอยู่ในสถานภาพคลุมเครือ ส่วนซีรีส์อีกชุดหนึ่งที่ได้เดวิด เบนิออฟ และดี.บี. ไวส์ สองผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ Game of Thrones มาดูแลก็หายวับ เมื่อทั้งคู่โบกมือลา เนื่องจากปัญหาความแตกต่างทางความคิดสร้างสรรค์ ส่วนเจ.เจ. เอบรามส์ ผู้กำกับ The Force Awakens กับ Rise of Skywalker ก็ไม่พร้อมจะทำหนัง Star Wars เรื่องต่อๆ ไปในอนาคต เมื่อเดินหน้าทำสัญญามูลค่ามหาศาลกับวอร์เนอร์มีเดีย และทำให้หนังชุดนี้ขาดการรวบรวมมุมมองในการสร้างสรรค์ให้เป็นหนึ่งเดียว
ดิสนีย์ บริษัทที่ซื้อสิทธิ์ลิเกอวกาศมาไว้ในมือด้วยการซื้อลูคัสฟิล์มถึง 4 พันล้านเหรียญ เคยมอง Star Wars แตกต่างไปจากนี้ พวกเขาเชื่อว่าเรื่องราวการต่อสู้ของเจไดฝ่ายธรรมะและซิธผู้ชั่วร้าย มีเนื้อหามากพอที่จะทำเป็นหนังออกมาปีละเรื่อง ทำ Star Wars ออกมาเหมือนที่ทำกับหนังมาร์เวล อีกหนึ่งบริษัทในเครือที่ป้อนผลงานให้กับตลาดหนังบล็อคบัสเตอร์ทั่วโลก เมื่อเจอกับรายได้ที่ลดลง ทำให้ดิสนีย์รู้ว่า อย่าทำอะไรที่มันมากเกินไป, เร็วเกินไป เพราะกระทั่งเครื่องเล่น Star Wars: Galaxy’s Edge ในสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ก็ทำรายได้น่าผิดหวัง เมื่อผู้เข้าชมต่ำกว่าที่คาดเอาไว้