10 ก.พ. 2020 เวลา 06:16 • ความคิดเห็น
ท่ามกลางความเจ็บปวดของการสูญเสียที่โคราช คำถามคือเราเห็นอะไร และได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องนี้
และนี่คือความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่าให้ทุกอย่างจบไปโดยสูญเปล่า เมื่อโศกนาฏกรรมมันเกิดขึ้นมา อย่างน้อยเราต้องได้อะไรสักอย่างจากมัน เพื่อทำให้สังคมไทยก้าวเดินหน้าต่อไปได้ดีกว่านี้ในอนาคต
1) ในประเทศไทยเคยเกิด Mass Shooting ไม่บ่อยนัก และนี่คือครั้งที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 30 ชีวิต จริงอยู่เคยเกิดเหตุมาแล้วในเขต 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่กับในเขตจังหวัดอื่น นี่เป็นครั้งแรก นี่คือโศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุด ด้วยน้ำมือของคนใจหยาบเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
2) เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน การมีคนร้ายขนอาวุธปืน กับกระสุนเกือบ 1 พันนัด มาไล่ยิงกันกลางห้างแบบนี้ มันทำให้ทุกคนจัดการอะไรได้ยาก อย่าไปโทษประชาชนเลยที่ไม่รู้จะรับมือแบบไหน คือใครมันจะไปคิดว่าการกราดยิงแบบนี้จะเกิดขึ้นที่ไทย
ย้อนไปในอดีตตอนเกิดเหตุสังหารหมู่ที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ในปี 1999 ครั้งนั้น เด็กนักเรียนก็ไม่รู้วิธีรับมือเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเกิดเหตุครั้งนั้นแล้ว ก็มีการสอนให้ประชาชนได้รู้ว่าถ้าเกิดเหตุมือปืนเข้ามาในอาคาร เราต้องทำอะไรก่อน
3) เราได้เรียนรู้หลักทฤษฎี Run - Hide - Fight ที่อนาคตอาจต้องบรรจุลงในหลักวิชาการศึกษา ให้นักเรียนได้รู้ว่าเมื่อเกิดเหตุคนถือปืนไล่ยิงในอาคาร สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือ Run วิ่งหนีเอาชีวิตรอดให้เร็วที่สุด ทิ้งสิ่งของมีค่าไว้ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหาย เพราะมันไม่หายหรอก พอจบเหตุค่อยกลับมาเอาก็ได้ ตอนนี้เอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด หนีไปให้เร็วให้ตัวเบาที่สุด แต่ถ้าหนีไม่ได้ ไม่รู้ทางออก หรือทางออกโดนปิด ก็ Hide เอาไว้ ซ่อนตัวให้เงียบที่สุดอย่าเปิดเสียงโทรศัพท์ เพราะคนร้ายถ้าเห็นว่าไม่มีคนอยู่ก็มักจะเดินผ่านไปเพื่อหาเหยื่อรายอื่น
และถ้า Run ไม่ได้ Hide แล้วถูกเจอ สิ่งสุดท้ายคือ Fight สู้ไม่ถอย อย่าก้มหน้าภาวนาหวังว่าคนร้ายจะปล่อย เพราะคนร้ายเมื่อถือปืนยิงคนไปทั่วแล้ว มันไม่ปราณีหรอก เอาปากกาจิ้มตาคนร้ายก็ได้ กัด หรืออะไรก็ได้ ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด อย่าเป็นเป้านิ่งให้มือปืนทำร้ายเราได้ง่ายๆ
4) ต่อไปหน่วยงานทหารต้องระมัดระวังเรื่องคลังอาวุธมากกว่านี้ อย่าคิดว่าคนไทยจิตใจดี เพราะในยุคนี้คนบ้ามันมีได้ทั้งนั้น ตามข่าวคนร้ายขับรถไปยังคลังอาวุธที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และยิงทหารเวรที่เฝ้าคลังอาวุธเสียชีวิต 1 ราย ก่อนขนทั้งปืน ทั้งกระสุน อาวุธสงครามจำนวนมากใส่รถฮัมวี่ แล้วเริ่มต้นก่อนเหตุยิงผู้บริสุทธิ์ มันชัดเจนแล้วว่า คนเฝ้าคลังอาวุธแค่ 1 คน หรือระบบการป้องกันภัยแบบหลวมๆ มันใช้การไม่ได้เลยจริงๆ
5) เมื่อได้ยินเสียงปืนอย่าเข้าใกล้จุดเกิดเหตุเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อย่าเข้าใกล้มือปืน แม้จะเห็นคนเจ็บนอนอยู่ นั่นเพราะเราไม่รู้สถานการณ์ว่ามือปืนอยู่ตรงไหน ทำอะไร และเราจะเป็นเหยื่อเพิ่มอีกคนหรือเปล่า ดังนั้นตามทฤษฎีเลยคือ RUN ก่อน หนีไปจากจุดนั้นซะ แล้วโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาจัดการ เราไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่มาจากไหน เราเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเลือดเนื้อ ตายไปมันไม่คุ้ม
6) นี่คือปรากฏการณ์ใหม่ที่คนร้ายฆ่าคนไป อัพ Facebook ไป แสดงให้เห็นถึงความเลือดเย็น มันไม่สนอะไรอีกแล้ว ซึ่งการที่ Facebook ปิดบัญชีทิ้งทันทีเพราะผิดกฎของบริษัท ถือเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมมาก เพราะคนแบบนี้ไม่ควรได้พื้นที่สื่อใดๆทั้งสิ้น คนร้ายคือคนร้าย ฆาตกรคือฆาตกร
7) ที่ไม่เข้าใจคือ มีคนไทยบางประเภทคิดจะทำอะไรอยู่ ไปสมัครบัญชีใหม่แล้วตั้งชื่อเหมือนคนร้าย และใช้รูปโพรไฟล์เหมือนคนร้ายเปี๊ยบ คิดได้ 2 กรณีคือ เป็นพวกทำตลกเอาฮา อยากก็อปเป็นคนร้าย แล้วโพสต์นี่นั่น ให้คนมารุมด่าเล่นๆ หรืออีกพวกคือ กะให้มีคนมาไลค์เยอะๆแล้วก็เปลี่ยนชื่อเพจเป็นขายครีม ขายอะไรไป เป็นการทำเพื่อหวังผลทางการค้า แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็งี่เง่าไม่ต่างกัน นาทีความเป็นความตายแบบนี้ จะทำเรื่องไร้สาระแบบนี้เพื่ออะไร มันทำให้โลกออนไลน์วุ่นวายเพิ่มโดยไม่จำเป็น และ Facebook ทำถูกแล้วที่ลบบัญชีปลอมทิ้งทั้งหมด
8 ) เมื่อเกิดเหตุ เราอยากให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ อยากให้ตำรวจรีบระงับสถานการณ์ให้เร็วที่สุด อยากให้หน่วยสวาทบินมาจุดเกิดเหตุในเวลา 1 ชั่วโมง คือเข้าใจความรู้สึกของทุกคน แต่อย่าลืมว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดครั้งแรก เราไม่เคยเจอ ตำรวจก็ไม่เคยเจอ คืออาจรู้ทางทฤษฎี แต่การปฏิบัติไม่มีใครเตรียมตัวได้ทันหรอก ว่ามันจะเกิดขึ้น
ตำรวจจะเข้าชาร์จคนร้ายทันทีก็ไม่ได้ เพราะคนร้ายมีอาวุธสงครามเต็มไปหมด มีปืนสั้น, ปืนยาว HK, ปืนกล M60 กระสุนที่ชิงมา 776 นัดยังไม่รวมที่เจ้าตัวมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าคนร้ายสาดปืนกลใส่ ความแรงของมันแม้แต่เกาะกันกระสุนก็เอาไม่อยู่ ดังนั้นมันจำเป็นที่ตำรวจต้องมาวางกลยุทธ์กันก่อน จะให้มันได้ดั่งใจประชาชนที่อยากให้เหตุการณ์จบเร็วๆ มันไม่ง่ายขนาดนั้น
9) คนร้ายได้เปรียบทุกอย่าง เขามีอาวุธครบมือ มีตัวคนเดียวเคลื่อนที่ได้เร็ว นอกจากนั้นห้างสรรพสินค้ามีเหลี่ยมมีมุมซ่อนตัวเต็มไปหมด ไม่รู้อยู่ตรงไหนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นอย่าลืมว่ามีชาวบ้านอีกนับร้อยคนยังอยู่ในห้าง ถ้าหากเกิดการยิงปะทะสาดกระสุนกัน อาจโดนลูกหลงไปโดนชาวบ้านก็ได้ ซึ่งตำรวจเองก็เสี่ยงไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจกับเราเลย
สิ่งที่ตำรวจทำได้ คือต้องเช็กตำแหน่งของคนร้ายว่าอยู่ตรงไหน รอบด้านมีคนบริสุทธิ์หรือไม่ และเคลียร์คนติดอยู่ในห้างในจุดที่เคลื่อนย้ายได้ ให้ออกมาเร็วที่สุดก่อน
10) สิ่งที่เราเห็นอีกอย่างคือคนร้ายใช้ Social Network แปลว่าเขาอยู่ติดกับมือถือตลอดเวลา ดังนั้นเป็นไปได้ที่เขาจะติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์ด้วย ซึ่งหมายความว่า การนำเสนอข่าวจำเป็นต้องมีความรอบคอบมาก
เราไม่รู้เลยว่าคนร้ายมากี่คน นอกจากจักรพันธ์ ถมมา อาจจะมีคนอื่นอีกก็ได้ ที่อาจจะพร้อมจะรายงานความเคลื่อนไหวตลอด ที่สหรัฐฯมันก็เคยมีคดี Mass Shooting ที่ก่อการด้วยคนมากกว่า 1 คนเช่นกัน ดังนั้นการนำเสนอของสื่อมวลชน จำเป็นที่จะต้อง ไม่เล่าถึงความเคลื่อนไหวในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และกลยุทธ์ในการบุกเข้าจู่โจมคนร้าย
11) นี่เป็นบทเรียนให้สื่อมวลชนไทยได้รู้ว่า แม้ยอดไลค์ ยอดวิวจะสำคัญ แต่เป้าหมายของภารกิจนั้นสำคัญกว่า คือต้องจับเป็นหรือจับตายคนร้าย โดยไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบไปด้วย คนร้ายห้ามมีช่องทางได้รับความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันขาด ในขณะที่ทุกคนกำลังต่อสู้เต็มที่ สื่อมวลชนก็ต้องร่วมมือด้วยเช่นกัน โดยหาทางนำเสนอข่าวในทิศทางอื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการ
12) อีกเรื่องหนึ่งที่สื่อมวลชนก็ไม่ควรทำเลย คือสัมภาษณ์ความรู้สึกของญาติเหยื่อเคราะห์ร้าย กับคำถามที่ไร้ประโยชน์เช่น "รู้สึกอย่างไร" คือถ้าญาติพี่น้องของคุณอยู่ในห้างและเจออะไรแบบนี้ โดนยิงให้เจ็บหรือเสียชีวิต ถามว่ามันจะรู้สึกอย่างไรได้ล่ะ มันก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว ดังนั้นนี่เป็นคำถามที่ ถามไปก็ไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมา
13) ในโลกออนไลน์นั้น มีคนที่คึกคะนองจำนวนมาก พิมพ์ถึงคนร้ายว่า "พี่เป็นไอดอลผมเลย" , "Kill ได้กี่ตัวแล้ว" ฯลฯ คือเราไม่รู้ว่าเขาคิดจริงหรือเปล่า หรือแค่ทำลงไปด้วยการไม่ยั้งคิดเฉยๆ แต่อยากบอกว่าหนึ่งครั้งที่พิมพ์ออกมาโดยไม่คิด แต่มันจะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเราไปตลอด ในยุคนี้ทันทีที่คุณพิมพ์อะไรออกมา อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่เห็น การแคปภาพมันทำได้ง่ายและรวดเร็วมาก และอาจเป็นตราบาปติดตัวไปเลยว่า "อ๋อ ไอ้คนนี้เองที่สนับสนุนฆาตกร"
ในยุคนี้เวลาไปสมัครงาน ฝ่าย HR เขาไล่ดูประวัติที่เคยโพสต์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการสืบค้นว่าเคยไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า ถ้ามาเจอความคิดแบบนี้ที่เราเคยพิมพ์ไปล่ะก็ ยังจะคาดหวังว่าเขาจะรับเราเข้าทำงานอีกหรือ?
การคิดก่อนพิมพ์ นอกเหนือจากจะเป็นการลดมลพิษทางโลกออนไลน์แล้ว ยังเป็นการให้เกียรติคนที่กำลังเจอกับสถานการณ์อยู่ด้วย อะไรๆที่เกิดขึ้นมันก็แย่พออยู่แล้ว อย่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันแย่ลงกว่านี้ และถ้าไม่รู้จะพิมพ์อะไรที่ดีได้ ก็เงียบซะ อ่านข่าวเฉยๆก็พอ
14) ในช่วงเวลาที่ข่าวสารสับสน รัฐบาลควรออกมาประกาศให้ชัดเจนเลยว่า ข่าวทั้งหมดที่เป็นทางการจะต้องมาจากไหน เพื่อให้สื่อมวลชน และประชาชนได้รู้ว่่า อันนี้คือข่าว Official จริงๆ และจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูก
เราลองย้อนกลับไปนึกถึงตอนเคสถ้ำหลวง ที่ข่าว Official จะออกมาจากผู้ว่าฯ ณรงศักดิ์คนเดียวเท่านั้น ซึ่งเคสนี้ก็ควรเป็นแบบนั้นเช่นกัน ทางรัฐควรประกาศให้เคลียร์เลยว่า ประชาชนจะติดตามข่าวที่ถูกต้องที่สุดได้ที่ช่องทางไหน ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ มีข่าวว่าให้ไปบริจาคเลือด แต่พอบางคนไป โรงพยาบาลบอกว่าให้มาใหม่พรุ่งนี้ คือมันมั่วไปหมด
15) การมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงลงพื้นที่เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามาแล้วไม่มีส่วนกับปฏิบัติการณ์ก็ไม่ต้องมา เสียเวลา นี่คือนาทีแห่งความเป็นความตาย ถามว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ที่เหนื่อยและตึงเครียดกันจะตายอยู่แล้ว ต้องเอาเวลาอันมีค่าไปต้อนรับผู้บริหารอีกงั้นหรือ? สิ่งที่ควรจะเป็นคือให้เจ้าหน้าที่ทำงานของเขาไป ถ้าอยากให้กำลังใจ ให้จากที่ไกลๆก็ได้
16) การต่อสู้ยืดเยื้อจนถึงเช้า เราได้เห็นเลยว่าภารกิจนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น คนร้ายมีอาวุธสงครามและเชี่ยวชาญการใช้อาวุธมาก อีกทั้งเป็นทหาร และเข้าใจยุทธวิธีดีว่าเจ้าหน้าที่จะบุกเข้ามาในลักษณะไหน ยิ่งไปกว่านั้น คนร้ายสามารถทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้แบบไม่เลือกหน้า เด็ก ผู้หญิง คือยิงได้หมด สถานการณ์แบบนี้ จะให้จับเป็นเพื่อมาเค้นว่าคิดอะไรอยู่ มันแทบไม่มีทางเลย ดังนั้นบทสรุปคือจำเป็นต้องจับตายเท่านั้น โจทย์นี้เจ้าหน้าที่ไม่มีทางเลือกมาก ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว
17) เหตุผลที่คนร้ายก่อเหตุเราก็สืบสวนกันไป แต่สิ่งสำคัญคืออย่าสร้างภาพให้คนร้ายเป็นฮีโร่ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม จะบอกว่าเพราะโดนทหารระดับหัวหน้าหักหลัง และโกงเงิน ทหารชั้นผู้น้อยก็ต้องเอาคืน คำถามคือแล้วประชาชนธรรมดาเขาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ถ้าล้างแค้นส่วนตัวมันก็ควรจะยุติแค่ 2 ศพแรกแล้ว ไม่ใช่ชิงปืนแล้วไปยิงผู้บริสุทธิ์ตายมากมายขนาดนั้น
คนร้ายคือคนร้าย ไม่ควรให้คุณค่าใดๆทั้งนั้น เขาคือฆาตกรที่พรากความฝัน และความหวังไปจากชีวิตของคน 30 คน เหตุผลอะไรก็ตาม ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้
18) หลังจากเหตุการณ์จบลง มีข่าวและคลิปหลุดออกมามากมาย ไม่ผิดที่เราจะเสพ แต่เราต้องกลั่นกรองให้ดีว่า มันจริงหรือไม่ บางอย่างเป็นแค่ข่าว Fake เท่านั้น ปั้นเรื่องแลกไลค์ แลกรีทวีต ซึ่งพอคนแชร์เยอะๆ เรื่องไม่จริง ก็อาจถูกทำให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้เหมือนกัน ดังนั้นก่อนจะไลค์ หรือรีทวีตอะไร คิดก่อนเยอะๆ ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข่าวเท็จแพร่กระจายหรือเปล่า
19) ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นฮีโร่ทั้งหมด ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร กู้ภัย รปภ.ในห้าง แพทย์ พยาบาล ทุกคนควรได้รับการสดุดี รวมถึงผู้ที่ติดอยู่ในห้างทั้งวันทั้งคืนด้วย พวกเขาต้องอดทนอย่างแสนสาหัส บางคนอยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ได้ เพราะกลัวคนร้ายจะได้ยิน ได้แต่ต้องอดทนเพื่อให้เอาตัวรอดจากวิกฤตนี้ไปให้ได้ คุณพ่อที่อยู่กับภรรยาและลูก หลายๆคนก็อ่อนแอมากอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ครอบครัว คุณแม่หลายๆคนที่ไม่ไหวแล้วแต่เพราะมีลูกอยู่ด้วยก็กัดฟันอดทนสู้ทุกวินาทีเพื่อลูก
ทุกท่านควรได้รับการสดุดี และเมื่อเรื่องสงบแล้ว ถ้าพร้อมจะเปิดใจพูดคุยเมื่อไหร่ มันก็น่าจะเป็นการดีถ้าเราจะได้รับฟังจากมุมของคนที่เผชิญเหตุการณ์ในห้าง ว่าผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้อย่างไร
20) ด้วยความที่เรื่องนี้ เป็นประเด็นใหญ่ทั่วโลก CNN BBC ทุกสื่อพาดเฮดไลน์เป็นข่าวใหญ่ที่สุด ดังนั้นเมื่อเรื่องจบแล้ว เป็นเรื่องถูกต้องที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปที่เกิดเหตุ และสรุปเหตุการณ์ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้เห็นว่า ผู้นำสูงสุดของรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและเห็นเรื่องนี้คือวาระสำคัญ
ถูกแล้วที่นายกฯไปและแถลงสรุปเหตุด้วยตนเอง แต่จะดีกว่าถ้าเขาเยือกเย็นกว่านี้ ประชาชนต้องการความหนักแน่นจากผู้นำโดยไม่จำเป็นต้องโบกไม้โบกมือเรียกเสียงกรี๊ด หรือทำท่ามินิฮาร์ท ซึ่งเรื่องวิธีการรับมือกับสถานการณ์วิกฤติ นายกรัฐมนตรีก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปเช่นกัน
21) สุดท้ายนี่เป็นเรื่องราวที่คนไทยไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิด แต่มันก็เกิด สิ่งที่เราได้แต่หวังคือ ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้าย อนาคตระบบตรวจสอบของเราจะยิ่งเข้มข้นขึ้น คลังแสงจะไม่สามารถปล่อยให้ใครบุกมาชิงอาวุธได้ง่ายๆแบบนี้อีกแล้ว ในขณะที่ประชาชน เราจะมีความเตรียมพร้อมมากขึ้น ในการรับมือกับสิ่งไม่คาดฝัน รู้ว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเราจะทำอะไรเป็นอย่างแรก
สื่อมวลชนก็จะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด สิ่งที่ผิดก็แก้ไข ส่วนสิ่งที่ดีอยู่แล้วก็สานต่อ ให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญของทุกคน
22) อนาคตน่าจะเป็นเรื่องดีถ้าจังหวัดนครราชสีมาทำอนุสรณ์สถานเล็กๆเอาไว้ แด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ เพื่อให้ผ่านไปกี่ปีผู้คนจะได้ไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเหล่านี้เคยมีชีวิต มีความหวัง มีความฝัน เราไม่ควรให้คุณค่ากับคนร้าย แต่เราควรให้คุณค่ากับผู้ที่จากไป และไม่ควรลบพวกเขาไปจากความทรงจำ
ที่สหรัฐฯ หลังจากเหตุการณ์ Mass Shooting ที่มัธยมโคลัมไบน์ ทางรัฐโคโลราโด้ จัดทำ Columbine Memorial ที่สวนสาธารณะคลีเมนต์พาร์ก ด้านหลังโรงเรียน เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น
23) ขอให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตทุกท่าน ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ ไปสู่สุคติ และขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวและผู้ใกล้ชิดกับผู้เคราะห์ร้าย ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้เร็วที่สุด ขณะที่กับประเทศไทยของเรา นี่คือโศกนาฏกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปตลอดกาล และจะอยู่ในความทรงจำไม่ลืม
โฆษณา