18 ก.พ. 2020 เวลา 03:10 • บันเทิง
[รีวิว] BrightBurn เมื่อซุปเปอร์แมนคือตัวร้าย
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราอยู่ในโลกที่มีเด็กจากดาวอื่นมาอยู่บนโลก แต่เขาไม่ได้มาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์ แต่กลับเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่คุณเคยจินตนาการถึง Brightburn คือผลงานการกำกับของ เดวิด ยาโรเวสกี ผู้เคยฝากผลงานสุดกวนไว้กับ Guardians of the Galaxy, The Belko Experiment และอีกมากมาย
หากพิจารณาถึงเรื่องราวแล้ว เราจะพบว่ามันอาจจะไม่ค่อยมีความใหม่อะไรมากนัก เพราะตัวเรื่องเมื่อดูแล้วเราจะชวนให้เรานึกถึง ซูเปอร์แมน แบบเป็นระยะๆ เพราะเรื่องราวถูกเซ็ทอัพไว้ว่า ในคืนวันหนึ่งมีวัตถุประหลาดจากต่างดาวตกลงมาในชานเมืองที่ห่างไกล และสิ่งนั้นคือเด็กทารก ที่เหมือนฟ้าประทานมาให้คู่สามี ภรรยาที่มีปัญหาไม่สามารถมีทายาทเป็นของตัวเองได้
แต่จุดที่จะต่างจาก ซูเปอร์แมน แบบที่เราคุ้นเคยก็คือ แบรนดอน เบเยอร์ หรือเด็กจากต่างดาวคนนี้ไม่ได้เติบโตขึ้นมาเป็นฮีโร่ หรือผู้ผดุงความยุติธรรมให้กับโลกใบนี้ แต่เขากลับค่อยๆเปิดเผยสันดานดิบ และธาตุแท้อันเลวร้ายของเขามาทีละนิด จนเรื่องต่างๆค่อยๆบานปลายออกไปเรื่อยๆ
ตัวหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีฉากสยองขวัญให้เห็นเป็นระยะ โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องที่จะทำให้คุณอาจอุทานออกมาว่า อะไรวะเนี่ย ตลอดเวลา เพราะหนังจะค่อยๆปูเรื่องราวต่างๆ จากนั้นจะค่อยๆประเคนฉากโหด และสยองขวัญให้แบบรัวๆ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนหนังเลือดสาด สมองกระจายคงต้องชอบใจแน่ๆ
สำหรับหนังที่ใช้ทุนสร้างเพียงแค่ 6 ล้านเหรียญ เราจึงไม่ค่อยเห็นกราฟฟิค หรืือฉากบู๊แอ๊คชั่นอลังกาลอะไรมากมาย แต่เท่าที่หนังใส่มาให้ก็ถือว่าค่อนข้างเพียงพอแล้ว นอกจากนี้หนังยังพยายามตีประเด็นเรื่อง Coming of age ของเด็ก ที่เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง และเริ่มต่อต้านผู้ปกครองได้อย่างน่าสนใจ
แม้ว่าหนังจะทำออกมาได้ดี และน่าสนใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อด้อยในแง่ของบทอยู่บ้าง เพราะในหลายๆช่วงของหนังมีการเดินเรื่องที่เร็วมาก หากไม่ตั้งใจดูอาจจะมีความหลุดได้ นอกจากนี้เราอาจจะรู้สึกถึงความไม่สมเหตุ สมผลในการก้าวเข้าสู่ด้านมืดของ แบรนดอน จนอาจเกิดคำถามว่าเพียงเท่านี้เองหรอ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามข้อติติงดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้ Brightburn ลดความน่าดูลงไปเลย เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะขอแนะนำให้ทุกคนไปลองดูกัน
สามารถดูตัวอย่างได้ที่นี้เลย
#BrightBurn
โฆษณา