19 ก.พ. 2020 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
ผู้ประท้วงชาวฮ่องกง ต้องไม่ชอบใจสิ่งนี้!
บริษัท AI จีนกำลังพัฒนาระบบจับภาพใบหน้า ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ แม้จะใส่หน้ากาก!
1
บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ AI ของจีน อย่าง SenseTime ระบุว่าบริษัทกำลังขยายการให้บริการในการใช้ AI เพื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางความร้อน เพื่อชี้ว่าใครมีไข้สูงบ้าง
Cr. Quartz
และยังสามารถตรวจสอบว่าใครที่ไม่ยอมใส่หน้ากากในที่สาธารณะบ้าง ตามคำสั่งของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้บริษัทยังอ้างว่า AI ของบริษัทสุดยอดถึงขนาดที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ แม้จะใส่หน้ากาก!!
ทางบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง LG ของเกาหลีใต้ ก็ยังร่วมมือกับ SenseTime ในการติดตั้งระบบสแกนหน้า ในการเข้าออกที่ทำงาน
Cr. Quartz
โดยอ้างว่าสามารถจดจำใบหน้าได้รวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 0.3 วินาที และมีความแม่นยำสูง ถึง 99% ถึงแม้คนๆนั้น จะใส่หน้ากาก หรือทาเครื่องสำอางมาเยอะ
ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ กลุ่มผู้ประท้วงที่พยายามพรางตัวด้วยหน้ากาก ก็ไม่น่าจะหนีรอด...
AI นับเป็นเทคโนโลยีสำคัญ ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีน กำลังแข่งกันอย่างเข้มข้น เพื่อขึ้นเป็นผู้นำด้านนี้ให้ได้
โดย AI ทำงานทดแทนมนุษย์ สองงานหลักๆ ด้วยกันคือ การรับรู้ (Sensing) และ การประมวลผล-เลียนแบบความคิดมนุษย์ (Cognitive)
สำหรับบริษัท SenseTimes ปัจจุบันคือ บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก (มูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และมีเรื่องเพื่อนๆ อาจยังไม่รู้ ได้แก่
Cr. SenseTime
1. ฟังก์ชั่นต่างๆ ในมือถือจีนแบรนด์ Xiaomi, Oppo, Vivo ไม่ว่าจะเป็น การใช้ใบหน้าในการปลดล็อคหน้าจอ หรือ Facial Unlocking, การถ่ายรูปแล้วหน้าเนียนสวย, การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ได้รับการสนับสนุนด้วย AI จาก SenseTimes
2. เพื่อนๆ คงเคยได้ยินเรื่องที่จีน มีระบบ Social Scoring ให้คะแนนความประพฤติคน อารมณ์เหมือนมีพี่ใหญ่มาคอยตามดู ก็ต้องใช้ AI ซึ่งก็ใช้บริการของบริษัท SenseTime เช่นเดียวกัน
3. ด้วยความที่บริษัท SenseTime ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลจีน เข้าถึงข้อมูลประชากรจีน ทำให้ AI พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จนจนาดที่สหรัฐฯ ต้องจับ SenseTime เข้า Blacklist โทษฐานเดียวกับ Huawei
4. ชื่อจีนของบริษัท SenseTime คือ "Shangtang" ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ราชวงศ์ชาง ของจีน เมื่อประมาณ 1,600 ปี ก่อนศริสตกาล ซึ่งเป็นยุครุ่งเรือง โดยจีนมีความเจริญก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ เกษตรกรรม อย่างก้าวกระโดด
Cr. Wiki
โดย ดร.ซู่ หลี่ ผู้ก่อตั้งบริษัท ได้กล่าวเอาไว้ว่า จุดมุ่งหมายของเขาก็อยากให้ AI สร้างผลดีต่อโลก เหมือนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสมัยราชวงศ์ชาง โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเป็น CEO ของบริษัทสตาร์ทอัพยูนิคอร์น แบบทุกวันนี้...
วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ มองในแง่ดี ก็ทำให้การควบคุมความเรียบร้อยในสังคม เป็นไปได้อย่างราบรื่น
ผู้คนไม่กล้าทำผิดกฎ เพราะรู้ว่ามี Big Brother หรือ พี่ใหญ่ คอยเฝ้ามองดูอยู่
แต่เหรียญมีสองด้าน หากมองอีกด้านหนึ่ง ผู้คนกำลังถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวหรือไม่? ซึ่งจุดนี้ทางประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะยุโรป ต่อต้านอย่างเต็มที่...
คำถามที่น่าคิดคือ เรายินยอมพร้อมแลกความเป็นส่วนตัว กับความ "สงบ" หรือไม่?
ส่วนเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวสุดขั้วนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี ด้าน AI จนพลิกเอาชนะโลกตะวันตก ก็เป็นได้...
(ถ้า AI จีน ทำได้จริงอย่างที่โฆษณาอ่ะนะ 😆)
เหมือนดังที่ ดร.ซู่ หลี่ เคยกล่าวว่า
"โลกอาจต้องหันกลับมามองโลกตะวันออกบ้าง"
Xu Li Cr. Straitstimes
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องข้ามศพโดนัลด์ ทรัมป์ เฮ้ย สหรัฐอเมริกา ไปก่อน...
💡ไม่อยากพลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ กดติดตาม
ติดดาว ⭐ "นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า"
⚓บริการเช็คราคาขนส่งระหว่างประเทศ ช่วยลดต้นทุน และปรึกษานำเข้า-ส่งออก
👫 ร่วมกลุ่มผู้นำเข้า-ส่งออก ช่วยกันขยายธุรกิจ แอดไลน์ @zupports
โฆษณา