19 ก.พ. 2020 เวลา 16:28 • ธุรกิจ
Vicious circle of destruction
"เรากำลังอยู่ในยุค Digital disruption"
"เรากำลังอยู่ในโลกยุคทุนนิยมที่ถูกเร่งเครื่องด้วยDigital disruption"
"หากเราไม่ปรับตัว เราก็จะตาย"
"เราต้องปรับตัวให้เร็วเพื่อตามยุคDigital disruption"
ผมเชื่อเหลือเกินว่านี่เป็นประโยคที่เราได้ยินคุ้นหูจนหูชากันถ้วนหน้าแล้วตามงานสัมนาที่บริษัทคุณ (โดยที่ลึกๆก็ไม่ค่อยเต็มใจจะไป)และงานสัมนาอื่นๆที่พูดเพราะต้องการสร้างความตื่นตระหนกให้กับคุณเล็กน้อยแล้วตบท้ายหลังงานว่า"ทำแบบนี้สิ แล้วจะเวิร์ค"....
และหากเราลองมองคนรอบข้างหรือเพื่อนๆของเราๆก็จะพบกับคนที่ต้องการเป็นนายตัวเองหรือเจ้าของธุรกิจเป็นหางว่าว เพราะต่างคนต่างก็มีแรงบัลดาลใจจากคนสำเร็จคนเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
ของคุณรูปภาพจากลงทุนแมนด้วยครับ
หลังจากนั้นเพื่อนของคุณก็จะ
1.เพื่อนของคุณยืมเงินจากครอบครัว,ทำงานเก็บตังค์เอง,หรือไม่ก็มายืมเงินคุณเพื่อสร้างธุรกิจในฝันเพราะกำลังไฟแรงมาจากการฟังคลิปสร้างแรงบัลดาลใจหรือไม่ก็ฟังสัมนา....มา
2.เพื่อนของคุณเริ่มสร้างธุรกิจตามPassionของตัวเองและForcus ธุรกิจของตัวเองเป็นอย่างดี
หลายปีผ่านไป คุณจะสังเกตุได้ว่าเพื่อนของคุณจะเป็นลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1.เพื่อนของคุณไปได้สวยเลยทีเดียวกับธุรกิจในฝันของตัวเอง สามารถแย่ง Marketshare และ
Disruptคู่แข่งจนหงายท้องเลยทีเดียวและกำลังมีPlanจะแตกไลน์Productใหม่ด้วย
2.เพื่อนของคุณต้องขายกิจการให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่หรือไม่ก็บริษัทแห่งหนึ่งที่สนใจซื้อกิจการ
3.เพื่อนของคุณไปไม่รอด แล้วปิดกิจการพร้อมหนี้สินเป็นรางวัล
หากเพื่อนของคุณเข้าข้อ 3 ก็อย่าได้ซ้ำเติมเค้านะครับ อย่างน้อยก็ยังดีที่เค้าเคยเอาชนะความกลัวด้วยความกล้าออกจากComfortzone ส่วนตัวผมนับถือคนกลุ่มนี้มากเพราะ"เขาก็ยังลงมือทำ"
หากเพื่อนของคุณเข้าข่ายข้อ 2 ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณจะได้เอาเงินไปสานความฝันในชีวิตต่อไป
หากเพื่อของคุณเข้าข้อ 1 ก็ต้องขอแสดงความยินดี(เป็นอย่างยิ่ง)ด้วยครับ คุณมาถูกทางแล้ว และชีวิตของคุณก็มาไกลกว่าคนอื่นมากเลยทีเดียว รักษาความสำเร็จนี้ไว้ให้ดีครับ
แต่ไม่ว่าคุณจะเป็น1,2หรือ3ก็ตาม หากคุณยังอยากที่จะทำธุรกิจอะไรก็ตามและตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป คุณจะต้องพบกับสิ่งที่เขาเรียกกันว่า"เวรกรรมมีจริง"เพราะวันที่คุณDisrupธุรกิจคนอื่นให้ตายทั้งเป็น อนาคตก็จะมีคนที่อยากจะDisruptให้ธุรกิจของคุณเองตายทั้งเป็นเช่นกัน ซึ่งผมเรียกว่า Vicious circle of destructionหรือเรียกว่า วงจรอุบาทแห่งการทำลายล้าง ดังรูป
Vicious circle of destruction
จากรูป คุณจะเป็นข้อ 1และ2 ที่ไปได้สวยเลยทีเดียวใช่ไหมครับ แต่หากคุณลองดู 3และ4ล่ะก็จะทำให้คุณได้รู้เลยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นบริษัทที่เทพจากสวรรค์ส่งมาเกิด คุณก็จะถูกคู่แข่งDisruptเช่นเดียวกับที่คุณไปDisruptคนอื่นเช่นกัน
แต่หากคุณเลือกทางเลือกที่2แล้วประสบความสำเร็จ คุณก็จะเป็นผู้อยู่รอดที่จะได้แตกไลน์Product หรือสเกลธุรกิจให้ขยายใหญ่ขึ้นจนสามารถแย่งMarketshareในอีกหลายๆอุตสาหกรรมที่คุณเข้าไปเล่นด้วย
แต่ไม่ว่าคุณจะใหญ่แต่ไหนก็ตาม เมื่อคุณมีคู่แข่งเข้ามาเรื่อยๆ คุณคิดว่าคุณจะใล้ทางเลือกที่ 2 จนทำให้ธุรกิจของคุณอยู่ยงคงกระพันจนเป็นบริษัทที่อยู่ค้ำฟ้าจน
"อยู่เหนือกฏของไตรลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา"
หรือป่าวล่ะ? เพราะถึงยังใงทางเลือกที่ 1และ3 ก็ต้องเป็นทางเลือกที่คุณต้องเลือกซักวันหนึ่ง....
ถึงอย่างไรก็ตาม วงจรอุบาทแห่งการทำลายล้างนี้ก็มีข้อดีและข้อเสียอย่างละ1ข้อ
ข้อดี ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกสินค้าที่หลายหลาย มีคุณภาพ มีคุณค่า มีความทันสมัยตลอดทุกยุคทุกสมัยทั้งปัจจุบันและอนาคต
ข้อเสีย มันไม่ดีเอาเสียเลยกับยุคที่ทุกคนอยากเป็นเจ้าของธุรกิจกันเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะวงจรอุบาทนี้มีแต่ผู้ที่"แน่จริง"เท่านั้นที่อยู่รอด
สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากข้อคิดซักเล็กน้อยนะครับ เผื่อมันจะช่วยให้เรามองโลกได้จัดเจนขึ้นไม่มากก็น้อย
Digital Disruption จะแปรผันตรงกับกิเลสของมนุษย์เสมอ ยิ่งมากเท่าไหร่ วงจรอุบาทแห่งการทำลายล้างยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
โฆษณา