12 มี.ค. 2020 เวลา 14:41 • ความคิดเห็น
โรคระบาดในมุมมองของ Yuval Noah Harari ผู้แต่งหนังสือ เซเปี้ยนส์
ตอนนี้มองไปที่ไหน "ความกลัว" ที่มีต่อโรค COVID-19 ก็ดูแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประเทศเอง และทั้งระดับโลก
ทุกวันนี้ตื่นมาก็เจอแต่ "ข่าวร้าย" เต็มไปหมด ไหนจะไวรัสระบาดไปทั่วโลกแล้ว ตัวเลขผู้เสียชีวิตนอกจีนเพิ่มขึ้นแบบพุ่งทะยาน ไหนจะเรื่องราวของผู้คนที่ดูช่างไร้ความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะจากทั้งภาครัฐ และประชาชนด้วยกันเอง
มันช่าง "สิ้นหวัง" อะไรกันเช่นนี้
ตัวผมเองก็ติดตามข่าวเรื่องไวรัสนี้มาพอสมควร มีอะไรที่อยากจะเขียนเต็มไปหมด...แต่กลัวดราม่า (สั้นๆง่ายๆครับ 55)
เลยขอหยิบบางท่อนบางตอนในประเด็นโรคระบาด จากหนังสือ Homo Deus มาสรุปเล่าใหม่ ผสมกับความเห็นส่วนตัวนิดหน่อย มาให้อ่านเพลินๆครับ มุมมองผู้เขียนเขาน่าสนใจดี
Plague Doctor Costume
ในสมัยโบราณ สิ่งที่ทำให้มนุษย์สิ้นชีพไปอย่างผักปลา มีอยู่ 3 อย่างคือ ภาวะอดอยาก โรคระบาด และศึกสงคราม
ซึ่งโรคระบาดนั้นเป็นอะไรที่อยู่คู่กับสังคมเมืองของมนุษย์ มาอย่างช้านานแล้ว
ผู้คนในสมัยนั้น อยู่กันอย่างหนาแน่นในเมืองใหญ่ๆ ท้องถนนเต็มไปด้วยพ่อค้า เจ้าพนักงาน และผู้มาเยือนจากต่างถิ่นมากมาย หลากภาษาและหลากวัฒนธรรม
และหลากเชื้อโรค ..... เมืองใหญ่ๆในสมัยโบราณ ในยุคที่มนุษย์ยังไม่มีความรู้เรื่องเชื้อโรค เรื่องสุขอนามัย ก็ไม่ต่างอะไรกับจานเพาะเชื้อชั้นดี
ดังนั้นแล้ว โรคระบาดจึงเป็นอะไรที่ไกล้ตัวกับมนุษย์มากๆ วันดีคืนดีคุณอาจจะป่วย และตายในอาทิตย์ถัดไป
หรือวันดีคืนดี อาจมีห่าลง ตายกันทั้งเมือง ก็เป็นเรื่อง "ธรรมดา" ในสมัยนั้น
โรคระบาดที่โด่งดังในยุคแรกๆ ก็คือ Black Death (กาฬโรค) เริ่มแพร่ระบาดช่วงปี 1330 มันได้คร่าชีวิตผู้ทั้งโลกไปกว่า 75 - 200 ล้านคน .... ซึ่งคิดเป็นประชากรประมาณ 25% ของทั้งทวีปยูเรเชียในสมัยนั้น
แต่กาฬโรคก็ไม่ใช่โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติมนุษยชาติ เพราะในยุคแห่งการสำรวจ ชาวยุโรปซึ่งพบดินแดนใหม่ๆ ทั้งทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิกส์ต่างๆ ได้นำเชื้อโรคประจำถิ่นเดิม เช่นโรคฝีดาษ โรคหัด ไข้หวัดใหญ่ ไปแพร่ให้ชาวท้องถิ่นของแต่ละที่ ซึ่งสำหรับพวกเขา มันคือเชื้อโรคใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่มีภูมิ
สิ่งที่ตามมาคือ มันทำให้ประชากรท้องถิ่นเสียชีวิตด้วยโรคระบาดไปถึง 90% (ตัวอย่างเช่น ประชากรชาวมายาซึ่งอยู่ในบริเวณของประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ลดลงจาก 22 ล้าน เหลือแค่ 2 ล้านคน ภายในเวลาแค่ 60ปี!)
ผู้คนในอดีตอยู่กับภาวะโรคระบาด โดยที่ไม่ได้มีความรู้ใดๆ คิดว่ามันเป็นเคราะห์กรรม เป็นการลงทัณฑ์จากพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อถือ คนหลายล้านตายจากโรคระบาดต่างๆทุกปี โรคระบาดต่างๆมีชื่อเล่น เรียกรวมๆกันว่า "Childhood Disease " เนื่องจากจะมีเด็กแค่ประมาณ 70% เท่านั้น ที่แข็งแรงพอที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ นอกนั้นก็ล้วนตายก่อนวัยอันควรจากทั้งโรคระบาดและการขาดสารอาหารรวมๆกันไป
จนเมื่อมนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค ยาปฏิชีวนะ วัคซีน และการสาธารณสุข ซึ่งพัฒนามาในช่วงประมาณเพียง 200 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น โรคระบาดก็ค่อยๆรุนแรงลดลงไป (ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือหลักหมื่นปี แต่พึ่งมามียามีวัคซีนต่างๆเพียงประมาณ 200ปี นับว่าสั้นมากๆครับ)
เช่น อัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดก็ลดลงฮวบฮาบ เช่น ในปี 1967 มีคนเป็นโรคฝีดาษทั่วโลก 15 ล้านคน ตายถึง 2 ล้านคน แต่ในปี 2014 จำนวนผู้ติดเชื้อ = 0
ส่วนอัตราการเสียชีวิตในเด็ก จากโรคระบาด ของทั่วทั้งโลกนั้น ก็ลดลงน้อยกว่า 1% !
1
อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์สามารถเอาชนะโรคระบาดได้แล้ว เพราะถึงแม้จะยังมีคนตายด้วยโรคระบาดประจำถิ่น เช่น มาลาเรีย ถึงปีละหลายล้านคน แต่ก็ถือว่าน้อยลงไปมากๆ น้อยกว่าการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือวัยชราด้วยซ้ำ
จุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งวิวัฒนาการคู่กันมากับสัตว์โลก หลายพันล้านปี ได้พ่ายแพ้ให้กับ Homo Sapiens ซึ่งมีวิวัฒนาการมาเพียงไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น
แน่นอน ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าโรคระบาดที่มีอาณุภาพคร่าคนเป็นล้าน จะไม่กลับมาอีกครั้ง.... แต่จากอดีตที่เชื้อโรคนั้นไม่ต่างอะไรกับสิ่งลึกลับ ปัจจุบันมันได้กลายมาเป็นศัตรูที่จับต้องได้ เป็นศัตรูโบราณที่มีกลไกการระบาดจากแค่การกลายพันธุ์แบบสุ่ม เท่านั้น
ในขณะที่มนุษยชาติของเรานั้นมีวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งสั่งสมข้อมูลความรู้ มีระเบียบแบบแผน และพิสูจน์ให้เห็นจากผลงานในอดีตมานับไม่ถ้วนแล้ว ว่าเจ๋งกว่าเชื้อโรคมากเพียงไหน...
จะเห็นได้ว่าโลกเรานั้น "ดี" ขึ้นกว่าอดีตมาก
โอกาสที่เราจะเอาชนะโรคระบาดและจำกัดความเสียหายได้นั้น มีมากกว่าหลายเท่า....
สถานการณ์ที่จะมีคนตายล้างโลก แบบในกรณีของ Black Death หรือ Spanish Flu นั้น มันคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย... ถ้าเป็นไปได้ คนก็ไม่หายทั้งโลก มนุษย์ไม่ได้จะสูญพันธ์ไปไหน
(เรื่องตลกร้ายคือ ถ้าเกิดกรณี Worst Case นี้จริง มันอาจยืดอายุขัยของ "อารยธรรม" มนุษยชาติเสียด้วยซ้ำ เพราะจากภัยโลกร้อนที่รอเราอยู่ในอนาคตนั้น ก็มีการคาดการณ์ว่าคนนับพันล้าน จะต้องได้รับผลกระทบ และจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล)
ดังนั้นแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ "กลัว" โรคระบาด ณ ขนาดนี้ จนเกิดเหตุ เราสามารถหาความรู้ความเข้าใจตัวโรคจากสื่อมาตรฐานได้เป็นอย่างดี WHO อุตส่าตั้งชื่อตัวก่อโรคนี้ยาวๆ ว่า SARS-CoV-2 มันไม่ใช่สิ่งลึกลับ ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่พร้อมจะพรากชีวิตทุกเมื่อ
เรารู้ดีว่าเราจะป้องกันตัวเองยังไง ป้องกันคนรอบข้างที่เรารักอย่างไร เราก็ทำเต็มที่ เท่าที่เราจะทำได้
ระหว่างนี้ จงมั่นใจในมนุษย์ชาติ รอคอยแสงสว่าง และรอความสงบอย่างมีความหวัง...
แล้วสิ่งนี้ มันก็จะผ่านไปเช่นกัน....
โฆษณา