22 มี.ค. 2020 เวลา 05:26 • ธุรกิจ
จัดพอร์ตกองทุนรวมเพื่อรับมือในสภาวะวิกฤต
จากสถานการณ์ตอนนี้มีปัจจัยที่กระทบกับตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจชะลอตัว สงครามการค้า สงครามราคาน้ำมัน รวมถึงไวรัส COVID-19 ด้วย
เชื่อว่าหลายคนที่ลงทุนอยู่ทั้งในกองทุนรวม หุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ น่าจะขาดทุนกันพอสมควร เพราะสถานการณ์วิกฤตในปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญ
ในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ไหนก็ราคาลงกันถ้วนหน้า หุ้นลง น้ำมันลง ทองคำก็ลงด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดก็ยังราคาลงเช่นกัน
เรามองว่าตอนนี้เป็นการขายแบบผิดปกติ คนเทขายทุกสินทรัพย์เพื่อถือเงินสดเพราะความกลัวต่างๆ หรือนักลงทุนบางคนขายเพื่อถือเงินสดไว้รอโอกาสการลงทุนครั้งถัดไป และเมื่อผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปได้ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติดังเดิม
ดังนั้นหากใครมีการบริหารจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขาดทุนเลยนะ เพราะการจัดพอร์ตเป็นการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์หลายประเภท เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาและผลตอบแทนที่เราจะได้รับในอนาคต
การจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี ต้องเริ่มต้นจากเราตั้งเป้าหมายในการลงทุนก่อน หลังจากนั้นค่อยสำรวจถึงความเสี่ยงที่เรารับได้ และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
เราอาจจะมีพอร์ตการลงทุนหลายพอร์ตได้ โดยแบ่งพอร์ตการลงทุนตามวัตถุประสงค์ของเงินก้อนนั้น
วันนี้เราจะมาแนะนำการจัดสัดส่วนพอร์ตของกองทุนรวมที่แบ่งตามระดับความเสี่ยง 3 ระดับ คือ พอร์ตแบบระมัดระวัง (Conservative), พอร์ตแบบปานกลาง (Moderate), และพอร์ตเชิงรุก (Aggressive)
พอร์ตแบบระมัดระวัง (Conservative)
สัดส่วนของการลงทุนในกองทุน ดังนี้
-กองทุนรวมตราสารเงิน 30%
-กองทุนรวมตราสารหนี้ 40%
-กองทุนรวมตราสารทุน 30%
พอร์ตนี้เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะสั้น ระยะเวลา 1-3 ปี ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงมาก ไม่อยากให้เงินก้อนนี้เสี่ยงมากและรับการขาดทุนได้น้อยที่สุด
รวมถึงยังเหมาะกับคนวัยใกล้เกษียณอีกด้วย เนื่องจากคนในวัยนี้ควรจะลงทุนในระดับความเสี่ยงที่ต่ำ และต้องการรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ
เช่น เป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้านหรือซื้อรถในอีก 2 ปีข้างหน้า
อ้างอิงจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกไว้ว่า หากเราจัดพอร์ตการลงทุนที่สัดส่วนนี้ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5.9% ต่อปี
พอร์ตแบบปานกลาง (Moderate)
สัดส่วนของการลงทุนในกองทุน ดังนี้
-กองทุนรวมตราสารเงิน 20%
-กองทุนรวมตราสารหนี้ 30%
-กองทุนรวมตราสารทุน 50%
พอร์ตนี้เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะกลาง ระยะเวลาตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปถึง 10 ปี ต้องการผลตอบแทนเยอะจำนวนนึง แต่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
และเหมาะสำหรับกลุ่มวัยกลางคน หรือกลุ่มคนที่มีครอบครัวมีลูกแล้ว เนื่องจากวัยนี้มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบค่อนข้างเยอะ จึงต้องมีการแบ่งจัดสรรเงินไปทำสิ่งต่างๆ และมีค่าใช้จ่ายที่ตนต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น
จากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกไว้ว่า หากเราจัดพอร์ตการลงทุนที่สัดส่วนนี้ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7.7% ต่อปี
พอร์ตเชิงรุก (Aggressive)
สัดส่วนของการลงทุนในกองทุน ดังนี้
-กองทุนรวมตราสารเงิน 10%
-กองทุนรวมตราสารหนี้ 20%
-กองทุนรวมตราสารทุน 70%
พอร์ตนี้เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะยาว ระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ต้องการผลตอบแทนเยอะและรับความเสี่ยงได้สูง
เหมาะสำหรับวัยเริ่มต้นทำงาน วางแผนการเงินเพื่อยามเกษียณ เนื่องจากกลุ่มนี้มีระยะเวลาลงทุนที่ค่อนข้างนานกว่าวัยอื่นๆ และยังมีภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวไม่เยอะมาก รวมถึงเหมาะกับคนที่มีความรู้ด้านการลงทุนค่อนข้างมาก
เมื่อเรามีระยะเวลาลงทุนมากจึงเหมาะแก่การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หากเราย้อนดูสถิติผลตอบแทนย้อนหลังจะพบว่า ในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงจะให้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน และเมื่อมีระยะเวลาลงทุนที่นาน ระยะเวลาก็จะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง
จากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกไว้ว่า หากเราจัดพอร์ตการลงทุนที่สัดส่วนนี้ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9.9% ต่อปี
เมื่อเรามีการจัดพอร์ตที่ดีแล้ว อีกสิ่งนึงที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การตรวจสอบผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุน และ Rebalance หรือปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้อยู่เสมอ
ทั้งนี้ทั้งนั้น การจัดสัดส่วนพอร์ตของกองทุนรวมที่เราได้แนะนำไปข้างต้น เป็นพอร์ตการลงทุนที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้กัน เพื่อนๆ พี่ๆ คนไหนที่ยังไม่มีไอเดียการจัดพอร์ตก็ลองนำใช้กันดูนะคะ หรืออาจจะปรับสัดส่วนเล็กน้อยให้เหมาะกับตัวเรามากที่สุด
ขอให้ทุกคนโชคดีในการลงทุน เราจะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน :)
ฝากติดตาม กด Like 👍 กด Share ❤️ และเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จะคอยอัพเดตข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวมและการลงทุน
#SecretFund
โฆษณา