31 มี.ค. 2020 เวลา 06:00
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในสถานการณ์โควิด มาพัฒนาภาษาอังกฤษกันเถอะ
<a href="https://www.freepik.com/free-photos-vectors/business">Business photo created by drobotdean - www.freepik.com</a>
ช่วงนี้โควิดกำลังระบาด ส่วนมากต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ซึ่งข้อดีคือเราได้ให้เวลาตัวเองทบทวนหรือทำสิ่งที่ชอบที่บ้านได้มากขึ้น กิจกรรมที่ผมอยากแนะนำให้ทำคือดูหนังเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษครับ
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ากว่าผมจะมีความรู้ภาษาอังกฤษขนาดนี้ (คิดว่าเก่งพอตัวนะ แฮ่) ผมต้องฝ่าอุปสรรคมาเยอะมาก ลองมาหลายสารพัดวิธีที่ครูบาอาจารย์ ติวเตอร์หรือแอดมินเพจดังๆแนะนำมา หนึ่งในคำแนะนำยอดฮิต คือ การดูหนัง
ผมคนนึงละที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูหนัง ซีรีย์ การ์ตูน เล่นเกมต่างๆ ถ้าให้ผมมาอ่านหนังสือนานๆไปทีละบทๆเนี่ยผมก็ทำได้นะ (เอ้า เกมพลิก 5555) แต่ยากหน่อย ผมมักจะสติแตกกลางทางหรือไม่ก็หันไปทำอะไรอย่างอื่นแทน จนอ่านไม่จบสักที สุดท้ายมันก็เป็นการเล่นนี่แหละที่ทำให้ผมได้เรียนอยู่ร่ำไป
ซึ่งเวลาดูหนังแนวที่ชอบ เราจะผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ดนตรีประกอบ นักแสดง ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญหมดครับ ผมเรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูหนังโดยจำว่าตัวละครที่ผมชอบนั้นพูดว่าอะไรบ้าง เขาพูดคำๆนี้ที่ไหน ในสถานการณ์แบบไหน มีเสียงหรือเพลงอะไรประกอบฉากที่พูดนั้น เวลาจะใช้คำศัพท์หรือแต่งประโยคใดๆผมจะอ้างอิงจากสิ่งต่างๆเหล่านี้
<a href="https://www.freepik.com/free-photos-vectors/people">People photo created by freepik - www.freepik.com</a>
ข้อดีของการเรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนังในแบบฉบับ “เล่นจนได้เรียน” มีดังนี้ครับ
1. ได้เห็นตัวอย่างการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาที่คนทั่วไปใช้กัน บางเรื่องอาจจะมีคำแสลง สุภาษิต คำพังเพยที่คนใช้กันในปัจจุบันด้วย เราก็จะได้อัพเดตภาษาอยู่เรื่อยๆ
<a href="https://www.freepik.com/free-photos-vectors/business">Business photo created by katemangostar - www.freepik.com</a>
2. ฝึกการฟัง ประเทศไทยเรายังเป็นประเทศ EFL (English as a foreign language) คือ เราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศไม่ใช่ภาษาที่สอง หมายความว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลักของคนส่วนใหญ่ในประเทศนั่นเอง ทำให้โอกาสที่เราจะได้ยินคนพูดภาษาอังกฤษให้ฟังมีน้อยมาก แม้แต่ในโรงเรียนก็ตาม (ยกเว้นโรงเรียนหรือโปรแกรมอินเตอร์นะ) ซึ่งการที่เราจะหาสื่อการสอนที่เพียบพร้อมหรือสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้ยากและที่สำคัญมันค่อนข้างแพง (น้ำตาไหล) ซึ่งการดูหนังทำให้เราได้ฟังสำเนียงการพูดจากตัวละครหรือนักแสดงจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งมีสำเนียง ความเร็ว น้ำเสียงที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
https://metro.co.uk/2019/10/20/get-paid-770-to-watch-disney-movies-every-day-for-a-month-10951011/
3. ดีต่อใจ ลองเปรียบนักแสดงที่เราชอบเป็นครูดูสิครับ คุณพระ ครู Thor (Chris Hemsworth) ครู Tony Stark หรือ Iron Man (Robert Downey Junior) ครู Rachel McAdam เราจะอินไปกับบทพูดพวกเขาทันทีครับ ซึ่งเราก็จะได้เรียนภาษาอังกฤษจากคำนั้นๆ ได้รู้ทั้งความหมาย วิธีการใช้ประโยคนั้นๆครับ ยิ่งเป็นประโยคที่ให้แง่คิดหรือให้แรงบันดาลใจที่เราเรียกกันว่า Inspirational quote เราจะจำได้ดีเลยทีเดียว ยกตัวอย่างที่ผมชอบนะ เช่น ในหนังเรื่อง Spider-Man: Homecoming
Peter Parker พูดว่า
“This is all I have. I’m nothing without this suit.”
นี่คือทั้งหมดที่ผมมีครับ ถ้าไม่มีชุดนี้ (ชุดสไปเดอร์แมนที่โทนี่ทำให้) ผมก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
Tony Stark ตอบว่า
“If you’re nothing without this suit then you shouldn’t have it”
“ถ้านายไม่เหลืออะไรเลยถ้าไม่มีชุดนี้ ถ้างั้นนายก็ไม่ควรมีมันตั้งแต่แรก”
เป็นไงบ้างครับ พ่อเขาดุลูกเขาแหละ (ฮา) เป็นประโยคจากในหนังที่ผมประทับใจมากเลยนะครับ เกิดอะไรขึ้นไปดูกันเองแล้วกันนะ ผมไม่สปอยล์ ซึ่งประโยคนี้โทนี่ต้องการจะให้ข้อคิดแก่ปีเตอร์ว่า ไม่ใช่เพราะคนมีพลังพิเศษถึงได้เป็นฮีโร่ แต่มันอยู่ที่สิ่งที่เขาเป็นต่างหากที่ทำให้เขาเป็นฮีโร่
https://www.quora.com/Why-did-Tony-Stark-say-to-Peter-Parker-If-you-re-nothing-without-the-suit-then-you-shouldn-t-have-it
พูดถึงข้อดีคร่าวๆไปแล้วสิ่งที่ผมอยากแนะนำคือขั้นตอนครับ
ลูกศิษย์ของผมหลายคนมาบอกว่าดูหนังแล้วไม่เห็นจะช่วยเลยครับ ผมไม่ได้เก่งขึ้นเลย หนูว่ามันเสียเวลา และอะไรอีกหลายๆอย่าง ผมถามพวกเขาว่าแล้วดูยังไง บางคนก็บอกว่าดูไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบ ดูโดยเปิด subtitle ภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งการที่ทุกคนบอกว่าไม่ได้ผล ผมคิดว่าเป็นเพราะการบอกส่งต่อกันมา ทุกวันนี้ใครก็บอกว่าถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษเหรอ ดูหนังเยอะๆสิ เดี๋ยวก็ได้เอง เชื่อเถอะ มีจำนวนไม่น้อยที่พูดแบบนี้ แต่ขั้นตอนล่ะ ต้องดูยังไง อันนี้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนะ กลายเป็นว่าผู้เรียนก็ติดภาพไปว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษต้องดูหนัง แต่ไม่รู้ว่าต้องดูยังไง
มาจะกล่าวบทไป เอ้ย ไม่ใช่ ผมจะแนะนำดังนี้ครับ
หากคุณเป็นผู้เริ่มเรียนคิดว่าตัวเองไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษเลย หรือ พอมีความรู้ภาษาอังกฤษบ้าง
1. สิ่งแรกที่ผมแนะนำคือหาหนังที่คุณชอบจริงๆ หนังที่มันส่งอิทธิพลต่อคุณมากๆ ยกตัวอย่างผม ผมดูหนัง Marvel เกือบทุกเรื่องเลยนะ ไม่ถึงขั้นแฟนพันธุ์แท้หรอก แต่ถ้าเอาแฟนๆมาคุยกันผมก็รู้เรื่องส่วนใหญ่ละ (ฮา) ซึ่งอย่างที่บอกตอนต้นคือคุณจะอินกับมันไง คุณจะจดจำบทพูด สถานการณ์ต่างๆได้ดี คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย อย่าบังคับตัวเองดูหนังที่ไม่ชอบเพื่อเรียนภาษาอังกฤษครับ มันอาจจะได้ประโยชน์แต่มันสามารถทำให้คุณท้อได้ถ้าคุณอยู่ในขั้นเริ่มต้น เชื่อผม ผมลองมา ลูกศิษย์ผมฝึกดู Big bang Theory (ซีรีย์ตลกที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ค่อนข้าง advance มาก) แล้วท้อเลย เพราะนึกว่าดูหนัง ดูซีรีย์ยากๆแล้วจะได้ภาษาอังกฤษเยอะๆ อย่าลืมว่าภาษามีระดับยากง่าย เปรียบเทียบกับคุณเป็นผู้เล่น Lv.1 ไปลงดันเจี้ยน Lv.50 ก็ไม่น่ารอดนะ
https://www.disney.co.th/marvel
2. เมื่อเลือกเรื่องได้แล้ว ให้...........ดูพากย์อังกฤษ 5555 ใช่มั้ยล่ะจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณจะฝึกภาษาอังกฤษแล้วคุณดูพากย์ไทย ต่อให้ subtitle อังกฤษก็เถอะ แม้ว่าจะอยู่ขั้นเริ่มต้น ฟังไปเลย ไม่ต้องกลัว มันคือการฝึก ไม่มีใครว่าเราได้ครับ ฟังให้มันรู้สำเนียง ความเร็ว น้ำเสียง ระดับความดังเบา องค์ประกอบพวกนี้มีผลแน่ๆเวลาเราใช้จริงครับ ในหนังอาจจะดีหน่อยที่บทพูดเป็นสคริปต์ที่เขากลั่นกรองมาแล้ว และคนดูสามารถฟังได้ชัดถ้อยชัดคำ กดย้อนไปดูได้หลายรอบ ชีวิตจริงทำไม่ได้นะเอ้อ มีปัจจัยอื่นๆ เช่น เสียงรถ เสียงคนเดินคุยกัน โทรศัพท์ดัง นกร้องจีบกัน สุนัขทะเลาะกับแมว โอย เยอะแยะไปหมด
3. เปิด subtitle ภาษาอังกฤษ ย้ำเลยนะครับว่าให้เปิด subtitle คนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษหลายคนอาจจะบอกว่าเขาปิด subtitle แล้วเรียนเอา ฟังให้ออก ครับ สามารถทำได้ครับ แต่ไม่ใช่ทุกคน ผมอยู่ในกลุ่มที่ทำแบบนั้นไม่ได้ ความสามารถของทุกคนไม่เท่ากันครับ การที่ใครคนใดคนหนึ่งทำได้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่เหลือจะทำได้ ถูกมั้ยครับ การปิด subtitle ในการดูหนังในขณะที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นเป็นอะไรที่ท้อมากครับ แม้แต่คนเก่งภาษาอังกฤษระดับกลางก็ใช่ว่าจะฟังคำนั้นออก การที่เราฟังโดยที่ไม่รู้ว่าคำนั้นคือคำว่าอะไรมันจะทำให้เรางงครับ แล้วมันจะทำให้เราหมดความสนใจไปเลย เพราะต่อเนื้อเรื่องไม่ติด ต่อให้คุณดูซ้ำๆมันก็จะติดแบบเดิม ลองเปิด subtitle ดูครับ ถ้าภาษาอังกฤษได้ก็ดี เราจะได้รู้ว่าคำนั้นๆออกเสียงยังไง แล้วใช้ในบริบทไหนครับ
ส่วน subtitle ภาษาไทย เอาไว้ดูคำแปลก็ได้ครับ กด Pause หยุดไว้ชั่วคราวแล้วเปลี่ยนจาก Sub อังกฤษ เป็น Sub ไทยก็ได้ เพื่อเช็คคำแปล แต่ต้องระวังนะเพราะ บางทีเขาก็แปลขาดหรือเกินไป หรือแปลให้เข้ากับบริบทสถานการณ์นั้นๆครับ ทางที่ดีผมแนะนำซื้อสมุดเล็กๆน่ารักๆมาหนึ่งเล่มแล้วจดไปด้วย
Big Bang Theory
4. ต่อยอดจากการเอาสมุดมาจด ถ้าเราจดตั้งแต่แรกยันจบหนังแล้ว ความตั้งใจเราจะสูญไปครับ 55555 พอหนังจบอารมณ์ก็จบ มันเป็นแบบนี้จริงๆ ผมก็เป็น ไม่ค่อยกลับมาหาคำแปลคำที่เขียนไว้หรอก ทางที่ดีผมแนะนำว่าตั้งกติกาเอาไว้ เช่น ถ้าจดถึง 10 คำนะ หรือพอจบฉากนี้ เราจะมาดูคำแปลนะ ตั้งเป้าหมายเล็กๆไว้ก่อน มันง่ายต่อการไปถึงครับ
5. ต่อยอดจากศัพท์ที่จด แนะนำว่า ให้เขียนประโยคที่เจอคำศัพท์นั้นๆด้วย เราจะได้รู้ว่าใช้ในประโยคแบบไหน หรือถ้าขยันมากๆจะจดประเภทของคำ เช่น Strength (n) คำนาม = ความแข็งแกร่ง/ ข้อดี
นี่ก็เป็นวิธีสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นฝึกภาษาอังกฤษจากการดูหนังนะครับ ซึ่งแรกๆอาจจะเหนื่อยหน่อยนะครับ เพราะเราชินกับการดูไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ค่อยมาหยุดกลางคันแล้วจดบันทึก เอาเท่าที่ตัวเองไหวครับ เรียนให้มีความสุขแล้วผลลัพธ์จะดีตามครับ
https://www.linkedin.com/pulse/ninja-note-taking-tips-from-master-scribe-tucker-johnson
สำหรับคนที่เก่งแล้ว
1. challenge ท้าทายตัวเองไปเลยปิด Subtitle ครับ ค่อยเปิดตอนที่คุณฟังไม่ออก ไม่รู้ว่าคำไหน น้อยคนที่จะรู้คำศัพท์ทุกคำบนโลกใบนี้ครับ ไม่ต้องอายที่จะเปิด Subtitle ครับ ผมเรียนจบจากต่างประเทศมาแต่ตอนดูซีรีย์หรือหนังบางเรื่องผมก็ต้องเปิด Subtitle ครับ ผมไม่อาย ถ้ามัวแต่อายผมก็ไม่ได้พัฒนาตัวเองซักที
2. พูดตามครับ ชีวิตจริงเราหาโอกาสที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ยากครับ ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน ถ้าอยู่บริษัทต่างชาติ มีเพื่อนเป็นคนต่างชาติก็ดีไป แต่บางคนก็ไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น การฝึกพูดตามตัวละครก็เป็นการฝึกที่ดีครับ ถ้าให้ดีดูการออกเสียงจากพจนานุกรมอย่าง Oxford หรือ Cambridge อีกทีก็ได้ครับ บางทีเราอาจจะติดกับการออกเสียง Strong form อย่าง history เราอ่าน ฮิส-ตอ-รี แต่จริงๆแล้วอ่านว่า ฮิส-เทอ-ริ หรืออ่านเร็วๆเป็น ฮิส-ทริ
ยิ่งพูดตามตัวละครที่เราชอบเนี่ยเราจะมีความฮึกเหิมในการสวมบทบาทครับ (ฮา)
3. อยากให้ลองจดคำศัพท์และแต่งประโยคจากคำที่ตัวเองเจอมาครับ กว่าจะได้ประโยคที่ถูกต้องแต่ละประโยค เราจะต้องผ่านการหากฎแกรมมาร์ วิธีการใช้ต่างๆมาอ้างอิงการเขียนให้ประโยคถูกต้องที่สุดครับ ถ้าไม่รู้ว่าถูกมั้ย “เล่นจนได้เรียน” พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาช่วยกันดูหนังเล่นจนได้เรียนครับ
อยากให้ลองทำดูนะครับ ทุกวิธี ทุกขั้นตอนที่แนะนำไป อาจจะปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองก็ได้ครับ บางคนอาจจะชอบ ทำแล้วได้ผล ผมก็ดีใจครับ อย่าลืมมาแชร์เรื่องราวดีๆกันนะครับ ส่วนคนที่ไม่ชอบสามารถเสนอแนะกันได้นะครับ ถือว่าแชร์ความรู้แชร์เงื่อนไขของแต่ละคนไป จะได้ช่วยกันปรับ ช่วยกันสอนครับ
https://tallypress.com/fun/10-most-common-english-wording-mistakes-made-by-malaysians/attachment/10-most-common-english-wording-mistakes-made-by-malaysians-9/
คราวหน้าจะมาพูดถึงหนังหรือซีรีย์ที่เราควรดูเพื่อฝึกภาษาอังกฤษครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านครับ ยาวหน่อย แต่ได้สาระแน่ อ่านเล่นๆแต่ได้เรียนนะ ขอบคุณคร้าบ
โฆษณา