19 เม.ย. 2020 เวลา 02:22 • กีฬา
การวิวัฒนาการของแผนการเล่น WM
ในปี 1952 ศึกฟุตบอลโอลิมปิกในครั้งนั้นได้ถือกำเนิดสุดยอดทีมขึ้น นั่นก็คือทีมชาติฮังการี ทีมชุดนั้นถือเป็นยุคทองของทีมชาติฮังการีที่เป็นที่กล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ โดยในทัวร์นาเมนต์นั้นทีมชาติฮังการีคือผู้ชนะในโอลิมปิกครั้งนั้น และสิ่งที่ทีมชาติฮังการีชุดนั้นนำมาสู่วงการฟุตบอลซึ่งนั่นจะกลายเป็นการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกฟุตบอลไปตลอดกาล
ทีมชาติฮังการี ในปี 1953
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ1930 ที่แผนการเล่นยอดนิยม 3-2-2-3 หรือ WM ครองความยิ่งใหญ่อยู่อย่างยาวนาน ระหว่างนั้นก็ได้มีปรัชญาแทคติกสไตล์การเล่นอื่นถูกคิดค้นขึ้นมามากมายเช่นกัน แต่แต่ละปรัชญาเองก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนักที่จะครองความยิ่งใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็น Total Football ของแจ็ค เรย์โนลด์ส หรือ Catenaccio ของคาร์ล ลาปปาน ล้วนยังไม่ได้ถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์ทั้งนั้น ในขณะเดียวกันทีมชาติฮังการีภายใต้การคุมทีมของ กุ๊สซต๊าบว์ เชเบชส์ ในช่วงทศวรรษ 1950 ได้หยิบเอาปรัชญาของแจ็ค เรย์โนลด์ส Total Football(เป็นแผนเน้นเกมบุกที่จะคอยหมุนเวียนผู้เล่นอย่างอิสระและค่อยๆต่อบอลสร้างสรรค์เกมเข้าไปทำประตูอย่างสวยงาม)ที่ยังไม่สมบูรณ์มาประยุกต์ใช้กับแผนการเล่น WM ซึ่งหลังจากนั้นทำให้แผนการเล่น WM ดั้งเดิมนั้นแปรสภาพกลายเป็นแผนการเล่น 3-2-3-2 หรือ WW
แผนการเล่น 3-2-3-2 หรือ WW ของทีมชาติฮังการี
ซึ่งเกิดจากการถอยล่นปีกสองข้างลงมาต่ำกว่าเดิมนิดหน่อยและเปลี่ยนจากใช้กองหน้าแท้ๆเป็นใช้กองหน้าตัวหลอกแทน(False 9) บทบาทนี้ทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมและยืนตำแหน่งถอยลงมาต่ำเหมือนบทบาทเพลย์เมกเกอร์แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือพวกเขาจะมีส่วนรับผิดชอบหน้าที่ในการทำประตูเหมือนกับกองหน้าแท้ๆอีกด้วย ซึ่งนันดอร์ ฮิแดคูตี (Nandor Hidegkuti) ตำนานชาวฮังการีได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นคนแรกที่มีฝีเท้าโดดเด่นอย่างมากในบทบาทกองหน้าตัวหลอก(False 9)
นันดอร์ ฮิแดคูตี ผู้ปฏิวัติบทบาท False 9
ในขณะที่จริงๆแล้วบทบาทนี้ได้ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกโดยทีมชาติออสเตรียที่ใช้มาธิอัส ซินเดล่าร์ในบทบาทนี้เช่นกันตั้งแต่ในศึกฟุตบอลโลก 1934 แต่อย่างไรก็ตามบทบาทนี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆมากนักในตอนนั้น ด้วยการมาของสไตล์การเล่นและแผนการเล่นใหม่ป้ายแดงนั้นทำให้ทั่วโลกต้องหันมาจับตามองทีมชาติฮังการีเป็นอย่างมากจนได้รับการขนานนามว่า “Magical Magyars” หรือ “Golden Team”นั่นเอง
ภาพวาดโดย Brian West Art
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมนำพาทีมชุดนี้ที่นำทัพโดยเฟเรนซ์ ปุสกัส สุดยอดกองหน้าชาวฮังการี ทะลุเข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลกครั้งที่5 ในปี1954 ซึ่งในเกมนั้นทีมชาติฮังการีได้ต่อสู้กับทีมชาติเยอรมันตะวันตกอย่างดุเดือดโดยผลจบลงที่สกอร์ 3-2 เป็นทางเยอรมันตะวันตกที่เฉือนชนะไปได้ และหลังจากนั้นด้วยอายุที่มากขึ้นของเหล่าผู้เล่นกุญแจสำคัญของทีมในชุดยุคทองจึงทำให้ทีมชาติฮังการี Magical Magyars ถึงกาลอวสานในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ทีมชาติฮังการีจะไม่ประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลกแต่ก็ถือว่าพวกเขาได้นำแนวทางการเล่นแบบใหม่มาสู่โลกฟุตบอลอย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดผู้เล่นที่เป็นต้นตำรับของกองหน้าตัวหลอก(False 9) อย่าง นันดอร์ ฮิแดคูตีที่ส่งอิทธิพลไปสู่ผู้เล่นในปัจจุบันอย่างลิโอเนล เมสซี่ กับบาร์ซ่าในยุคเป๊ปและโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับลิเวอร์พูลในยุคคล็อปป์ และการนำTotal Football ที่ยังไม่สมบูรณ์มาประยุกต์ใช้ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการพัฒนาของTotal Football ฉบับสมบูรณ์ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าในช่วงทศวรรษ 1970
นอกจากนี้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นสโมสรฟุตบอลจากสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ที่นำทีมโดยอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่, เฟเรนซ์ ปุสกัส ยอดกองหน้าของทีมฮังการีชุดยุคทองและ ฟรานซิสโก้ เกนโต้ ได้ใช้แผนการเล่น WW เดียวกันกับทีมชาติฮังการีชุดยุคทองในการครองยุโรปในยุคบุกเบิกโดยการกวาดแชมป์ยุโรปไปถึง 5 สมัยติดต่อกันในฤดูกาล 1955–56, 1956–57, 1957–58, 1958–59 และ 1959–60
อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ กับ 5 แชมป์ยุโรป
แต่การวิวัฒนาการยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะแผนการเล่น WW ที่ถูกพัฒนามาแล้วครั้งหนึ่งได้วิวัฒนาการออกไปอีกครั้งจนกลายเป็นแผนการเล่น 4-2-4 (Diagonal system)ที่ถูกพัฒนาโดย ฟลาวิโอ คอสต้า กุนซือของทีมชาติบราซิลในขณะนั้นและบีล่า วุตต์มาน กุนซือชาวฮังการี แผนการเล่นนี้ปรับเปลี่ยนไปโดยจะเลือกใช้ผู้เล่นเพียงสองคนในตำแหน่งกองกลางเท่านั้นโดยทั้งสองคนจะต้องมีความอึดที่ช่วยทั้งเกมรุกและรับได้ตลอดทั้งเกมเพื่อสนับสนุนทั้งแผงหน้าสี่คนและแผงหลังสี่คนจึงก่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีทั้งเกมรุกและเกมรับ
แผนการเล่น 4-2-4 ของทีมชาติบราซิล
ในภายหลังวุตต์มานได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ประเทศบราซิลเพื่อพัฒนาแผนการเล่น 4-2-4 (Diagonal system) ให้สมบูรณ์และมันได้ส่งผลโดยตรงมาสู่ทีมชาติบราซิลจนสามารถประสบความสำเร็จในที่สุด ถึงแม้ว่าคอสต้าจะไม่ได้กุมบังเหียนแล้วก็ตามแต่เขาก็ได้ฝังรากฐานลงไปในทีมเรียบร้อยแล้ว แผนการเล่น 4-2-4 นำพาทีมชาติบราซิลที่นำทัพโดยสุดยอดตำนานผู้เล่นอย่าง เปเล่ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ถึง 2 สมัยติดต่อกันในปี 1958และ 1962 ยิ่งไปกว่านั้นทีมชาติอื่นๆก็หันมาใช้แผนการเล่นนี้ด้วยเช่นกัน
สุดยอดตำนานผู้เล่น เปเล่
และถัดมาในช่วงที่แผนการเล่น 4-2-4 รุ่งเรืองด้วยอิทธิพลของทีมชาติบราซิล และระหว่างนั้นเองก็ได้มีแผนการเล่นที่วิวัฒนาการใหม่เกิดขึ้นเพื่อมาแก้ทางแผนการเล่นนี้ซึ่งนั่นก็คือ 4-4-2 นั่นเอง โดยแผนการเล่น 4-4-2 นั้นถูกพัฒนาขึ้นจากคนสองคนในช่วงเวลาใกล้กันแต่ต่างตรงคนละสถานที่เท่านั้น และคนแรกที่พัฒนาขึ้นก่อนนั่นก็คือ วิกเตอร์ มาสรอฟ กุนซือชาวโซเวียด ซึ่งได้ใช้แผนการเล่นนี้กับสโมสรในสหภาพโซเวียดอยู่มากมาย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อโลกฟุตบอลแต่อย่างใด ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น นักพัฒนาคนที่สอง อัลฟ์ แรมซีย์ กุนซือชาวอังกฤษโดยเขาได้พาทีมชาติอังกฤษซึ่งนำทัพโดย บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ได้สำเร็จโดยการใช้แผนการเล่น 4-4-2 (Diamond) ที่เป็นรูปแบบไร้ปีก
แผนการเล่น 4-4-2 (Diamond) ของทีมชาติอังกฤษ
ซึ่งแผนการเล่นนี้ช่วยทำให้กองกลางของทีมชาติอังกฤษมีมากกว่าแผนการเล่น 4-2-4 จึงทำให้เกิดการได้เปรียบในแดนกลางส่งผลให้สามารถคุมเกมได้ดีกว่ามากอีกทั้งยังเพิ่มความเหนียวแน่นในเกมรับอีกด้วย ด้วยความสำเร็จของทีมชาติอังกฤษจึงทำให้ต่อมาแผนการเล่นนี้ได้ถูกแพร่หลายไปสู่หลากหลายสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษจนกลายเป็นแผนการเล่นประจำชาติเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีหลายๆต่อทีมปรับเปลี่ยนดัดแปลงแผนการเล่น 4-4-2 ของแรมซี่ย์จนแปรสภาพเป็นแบบอื่นอาธิเช่น 4-4-2 (Flat) ซึ่งเป็นรูปแบบเรียงแถวหน้ากระดานเป็นแนวกว้างที่มีปีกด้วยซึ่งทำให้เหมาะกับสไตล์เกมในอังกฤษที่ทั้งรวดเร็วและเข้าปะทะหนักหน่วง ซึ่งทีมที่ประสบความสำเร็จในแผนการเล่นนี้ได้แก่ ลิเวอร์พูลในชุดครองยุโรปตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรศ1970จนถึงช่วงต้นทศวรรษ1980 ยิ่งไปกว่านั้นแผนการเล่นนี้จะกลายเป็นแผนการเล่นยอดนิยมแห่งทศวรรษ 1990-2000 ด้วยการมาถึงของอาร์ริโก้ ซาคคี่ ผู้เปรียบดั่งปรมาจารณ์แห่งแผนการเล่น 4-4-2
แผนการเล่น 4-4-2 (Flat) ของลิเวอร์พูล
และอีกหนึ่งแผนการเล่นอย่าง 4-2-3-1 ที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในปัจจุบัน ซึ่งได้ถูกพัฒนาจากแผนการเล่น 4-2-4 เช่นกันโดยทีมชาติบราซิลที่แตกต่างไปจากชุดก่อนทั้งกุนซือและผู้เล่นหลายคนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กุนซือทีมชาติบราซิลในตอนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอดีตผู้เล่นในชุดแชมป์โลก 2สมัยอย่างมาริโอ ซากัลโล่ ซึ่งเขาได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขระบบ 4-2-4 เล็กน้อยโดยการจับกองกลางสองคนลงมาต่ำเป็นคู่กลางรับ Holding และถอยกองหน้าลงมาต่ำเป็นกองกลางตัวรุกซึ่งผู้ที่รับบทบาทนี้ในเวลานั้นก็คือ เปเล่ในช่วงปลายการค้าแข้ง นั่นเอง ซึ่งผลที่ตามมาคือด้วยจำนวนกองกลางที่มากขึ้นทำให้ง่ายต่อการทำเกมรุกโดยที่ไม่ต้องพะวงใดๆในเกมรับจึงทำให้ทีมที่ใช้แผนการเล่นนี้สามารถเล่นรับแล้วโต้กลับได้ดีเลยทีเดียว
แผนการเล่น 4-2-3-1 ของทีมชาติบราซิล
ทีมชาติบราซิลชุดนั้นสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1970 ได้สำเร็จด้วยแผนการเล่นนี้โดยถล่มฟุตบอลสไตล์เกมรับอย่าง Catenaccio ของทีมชาติอิตาลีที่ถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์ในเวลานั้นไปถึง 4-1
ต่อมาทีมชาติอาร์เจนติน่าก็ประสบความสำเร็จในศึกฟุตบอลโลก 1978 ด้วยแผนการเล่นนี้เช่นกันโดยสามารถถล่มฟุตบอลสไตล์เกมบุกอย่าง Total Football ของทีมชาติฮอลแลนด์ที่ถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์ในเวลานั้นไป 3-1 ด้วยสไตล์เกมบุกสายฟ้าแลบที่รวดเร็วอย่างมากที่นำทัพโดยยอดเพลย์เมกเกอร์อย่าง มาริโอ เกมเปส ที่คอยสนับสนุนกองหน้าและปีกสองข้างในเกมบุกซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในแผนการเล่นนี้
บราซิล 4-1 อิตาลี ในศึกฟุตบอลโลก 1970
อาร์เจนติน่า 3-1 ฮอลแลนด์ ในศึกฟุตบอลโลก 1978
และการวิวัฒนาการครั้งสุดท้ายของแผนการเล่น WM นั่นก็คือ แผนการเล่น 4-2-2-2 นั่นเอง แผนการเล่นนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แผนการเล่น Magic Square ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแผนการเล่นที่พัฒนามาจาก 4-2-4 เช่นกัน แผนการเล่นนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกโดยทีมชาติบราซิลแห่งศึกฟุตบอลโลก 1982 ในยุคที่ไร้ซึ่งเปเล่ สุดยอดตำนานอีกต่อไปแล้ว ที่นำทีมแทนโดยซิโก้ และ โซคราเตส สองยอดเพลย์เมกเกอร์ของทีม แผนการเล่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องของการคุมแดนกลางโดยอาศัยจำนวนเขาว่ารวมถึงการเพิ่มความเหนียวแน่นในเกมรับอีกด้วย ซึ่งแผนการเล่นนี้จะเน้นพึ่งพากองกลางทั้งสี่ที่ยืนกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมโดยจะมีกองกลางตัวรุก 2 คนคอยทำเกมอยู่หลังกองหน้าสองคนและกองกลางตัวรับ 2 คนคอยคุมจังหวะและเข้าสกัดเกมฝ่ายตรงข้าม
แผนการเล่น 4-2-2-2 ของทีมชาติบราซิล
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้บราซิลชุดนั้นจะไม่อาจไปถึงฝั่งฝันในการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกได้ แต่พวกเขาก็เป็นที่พูดถึงในทัวร์นาเมนต์นั้นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งหลายปีต่อมาทีมชาติบราซิลสามารถกลับมาทำได้สำเร็จโดยสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 ด้วยแผนการเล่น 4-2-2-2 ที่นำทีมโดย คาร์รอส ดุงก้า และ โรมาริโอ้
กัปตันคาร์รอส ดุงก้า นำทีมฉลองแชมป์
จากเรื่องราวทั้งหมดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เฮอร์เบิร์ต แชปแมน บุรุษผู้คิดค้นแผนการเล่น WM คือบุคคลคนสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ฟุตบอลเป็นอย่างมากเพราะเขาได้คิดค้นแผนการเล่นที่เปรียบเสมือนบรรพบุรษของแผนการเล่นของฟุตบอลในอนาคตหลายต่อหลายแผนเลยทีเดียว
รูปปั้นเฮอร์เบิร์ต แชปแมน หน้าสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ แผนการเล่น WM ได้ที่https://www.blockdit.com/articles/5e9285de1526330ca0aa1d9c/#
โฆษณา