26 เม.ย. 2020 เวลา 02:00 • ปรัชญา
นิทานแห่งรักและสมรส จาก หนังสือพลานุภาพแห่งเทพปกรณัม (The Power of Myth)
ปกหนังสือ พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม (The Power of Myth) ฉบับแปลไทย
“ด้วยเหตุนั้น ผ่านดวงตา รักจึงประจักษ์ถึงหัวใจ เพราะดวงตาคือผู้เสาะแสวงแห่งหัวใจ...”
โจเซฟ แคมพ์เบลล์ ได้ตอบคำถามของบิลล์ มอยเยอร์ส เกี่ยวกับเรื่องของความรัก โดยเริ่มจากการกล่าวถึงทรูบาดอร์ (กวีของแคว้นโปรวองซ์ ในศตวรรษที่ 12) ซึ่งเขาสนใจจิตวิทยาเกี่ยวกับความรักในฐานะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล เพราะก่อนหน้านั้นรักเป็นเพียง”อิรอส (Eros)”(หรือคิวปิด ซึ่งเป็นตัวแทนของความปรารถนาทางเพศ ซึ่งเกิดจากแรงผลักดันทางกายภาพ เป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของอินทรีย์ที่มีต่อกัน) และ”อากาเพ (Agape)” (คือจงรักเพื่อนบ้านของท่านให้เหมือนกับตัวท่านเอง หรือความกรุณา ซึ่งมันคือการเปิดใจไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัวเฉพาะคน) แต่ทรูบาดอร์สนใจใน “อามอร์ (AMOR)” (คือบางสิ่งที่เป็นเรื่องของความรู้สึกอ่อนหวานส่วนตัว ในขณะที่ “อิรอส” และ “อากาเพ” คือความรักที่ขาดความรู้สึกอ่อนไหวส่วนตัว) ซึ่งความรักแบบ “อามอร์” นี้เชื่อว่าคนเราควรศรัทธาในประสบการณ์ของตน และไม่ใช่เพียงแค่พูดตามคนอื่น ซึ่งขัดกับประเพณีแห่งศาสนจักร ซึ่งเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการโต้แย้งได้
ในยุคกลาง (แม้ในอินเดียทุกวันนี้) การสมรสถูกจัดการโดยสังคมทั้งหมด (คลุมถุงชน) ดังนั้นความคิดเกี่ยวกับ”อามอร์” จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะ”อามอร์” ถือว่าการสมรสที่แท้จริงคือการสมรสที่เกิดจากการยอมรับอัตลักษณ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง และการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันทางกายเป็นเพียงคำสัตย์ปฏิญาณซึ่งยืนยันสิ่งนั้น มันไม่ได้เริ่มต้นในแบบที่กลับกัน คือเริ่มจากความสนใจทางกาย แล้วถึงมากลายเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณ ความรักแบบ”อามอร์”นี้อาจนำมาซึ่ง “ความเจ็บปวดแห่งรัก” ซึ่งมันอาจเป็นความเจ็บปวดชั่วนิรันดรพร้อมกับการถูกสาปแช่งในนรกก็ตาม แต่ก็ยังคงเชื่อว่ารักนั้นยิ่งใหญ่กว่าความตายหรือความเจ็บปวด เชื่อว่ารักนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด
ถ้าความรักเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แล้วทุกคนวิ่งตามความรักสังคมมันจะไม่วุ่นวายหรือ? กรณีนี้สมองกับหัวใจควรร่วมมือกัน สมองควรให้ข้อมูล และหัวใจก็ควรรับฟังสมองบ้าง ความรักไม่ได้ออกเดินตามลำพัง อาจนำเอาหลักคุณธรรมห้าประการของอัศวินในยุคกลางมาพิจารณาซึ่งได้แก่
1. การควบคุมอารมณ์
2. ความกล้าหาญ
3. ความรัก
4. ความซื่อสัตย์
5. การมีมารยาท
เพราะการให้หน้าที่หนึ่งครอบงำทั้งระบบจะทำให้เกิดปัญหา
สำหรับความรักโรแมนติคนั้น ผู้หญิงเป็นผู้คุมกฎ และผู้ชายต้องเล่นตามกฎนั้น (เพราะเมื่อคุณต้องการตัวเธอ หมายความว่าเธอมีอำนาจเหนือคุณแล้ว) โดยสิ่งที่เธอจะทดสอบคือ หัวใจอันอ่อนโยนของคุณ หัวใจอันอ่อนโยนนี้คือหัวใจที่สามารถจะรักได้ ไม่ใช่หัวใจที่จะเกิดราคะ กุญแจสำคัญของ “หัวใจที่อ่อนโยน” นี้คือ ความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) “Com” คือ “ด้วยกัน” “Passion” คือ “ความทุกข์ทรมาน” เมื่อทั้งสองรวมกันก็คือ “ความทุกข์ทรมานด้วยกัน” ถ้าเปรียบทุกข์ทรมานนี้เป็นบาดแผล บาดแผลนี้แพทย์ไม่อาจเยียวยาได้ มันเยียวยาได้ด้วยอาวุธที่ก่อให้เกิดบาดแผลนั้นเท่านั้น
ตำนาน “จอกศักดิืสิทธิ์” (Holy Grail) หมายถึง แรงผลักดันแห่งธรรมชาติเป็นสิ่งที่มอบความจริงแท้ให้กับชีวิต ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่มาจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้ชีวิตดำรงอยู่ระหว่างทวิภาวะของความดีและความเชื่อ ความสว่างและความมืด ทุกการกระทำให้ทั้งผลดีและผลร้าย
การสมรสไม่ใช่การมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ความสัมพันธ์ฉันชู้สาว คือ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเพื่อความเพลิดเพลิน และเมื่อใดมันไม่เพลิดเพลินมันก็จบ แต่การสมรสคือพันธสัญญาชั่วชีวิตต่อสิ่งที่คุณเป็น และคนๆ นั้นคืออืกครึ่งหนึ่งของคุณอย่างแท้จริง พันธสัญญาชั่วชีวิตยังหมายถึงสิ่งที่คุณให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณ ถ้าการสมรสไม่ใช่สิ่งที่คุณให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ก็ไม่ได้มีการสมรสสำหรับคุณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าความสัมพันธ์ฉันชู้สาวคือคุณมีชีวิตสองชีวิตที่สัมพันธ์กัน ซึ่งประสบความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตราบเท่าที่มันดูน่าพึงพอใจ แต่การสมรสเหมือนสัญลักษณ์หยินหยางนั่นคือผมเธอและเราอยู่ตรงนี้ อยู่ในความสัมพันธ์ เมื่อผมต้องเสียสละ ผมไม่ได้เสียสละให้เธอ ผมเสียสละให้กับความสัมพันธ์ ความขุ่นเคืองที่มีต่ออีกฝ่ายเป็นเรื่องของการวางมันไว้ผิดที่ เพราะชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์ ดังนั้นคำสำคัญของการสมรสก็คือ “ความซื่อสัตย์” ซึ่งก็คือการไม่นอกใจ ไม่ทอดทิ้งกัน สุดท้ายข้อมูลที่คุณจะได้รับจากการสมรสคือคุณสามารถเชื่อมโยงด้านที่เป็นหญิงหรือชายเข้าไว้ด้วยกันได้ คุณจะรู้ในสิ่งที่เทพเจ้าทั้งหลายล่วงรู้ และอาจยิ่งไปกว่าสิ่งที่เทพเจ้าทั้งหลายล่วงรู้เสียอีก
หากดวงตาเสาะแสวงเพื่อหัวใจ และนำสิ่งที่หัวใจปรารถนาอย่างแรงกล้ากลับมา หัวใจจะปรารถนาเพียงครั้งเดียวหรือ? (เราจะประสบความสำเร็จไหม ถ้าเราสมรส แล้วก็มีความสัมพันธ์นอกสมรสด้วย มันจะลดค่าของความซื่อสัตย์ต่อความสัมพันธ์ไหม?) อาจจะมีความรักจับใจหลังจากที่คุณมีพันธสัญญาต่อการสมรสแล้ว และมันอาจเป็นความรู้สึกจับใจเสียจนกระทั่งการไม่ขานรับความรู้สึกนั้นอาจจะทำให้ประสบการณ์ทั้งมวลของพลังแห่งรักมืดมน แต่ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่งอกงามเต็มที่อย่างแท้จริงโดยที่ขณะเดียวกันก็ซื่อสัตย์ต่อการสมรสด้วยได้หรือไม่นั้น โจเซฟ แคมพ์เบล์ ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ในปัจจุบันเพราะสุดท้ายต้องเลิกรากันไป แต่ความซื่อสัตย์ไม่ได้ห้ามไม่ให้คุณมีความสัมพันธ์อันอบอุ่นหรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่เปี่ยมด้วยความรักต่อผู้อื่นที่เป็นเพศตรงข้าม ซึ่งทรูบาดอร์อาจจะร้องเพลงให้กับสุภาพสตรีของเขา ถึงแม้ว่าจะมีความหวังในการสานต่อความสัมพันธ์กับสุภาพสตรีเหล่านั้นเพียงน้อยนิด เพราะทรูบาดอร์เชื่อว่าความรักอยู่เหนือการสมรส
ถ้ารักเกี่ยวพันกับความทุกข์ ความเจ็บปวดแห่งรักก็ไม่ใช่ความเจ็บปวดอื่นใด มันคือความเจ็บปวดของชีวิต ความเจ็บปวดของคุณอยู่ที่ไหน ชีวิตของคุณก็อยู่ที่นั่น ความรักยอมต่อทุกสิ่ง ทนต่อทุกอย่าง มีตำนานเปอร์เซียกล่าวว่า ตอนที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างเทพยดาทั้งหลาย พระองค์ทรงบอกให้เทพยดาเหล่านั้นน้อมคำนับพระองค์เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์ ซึ่งพระองค์ทรงพิจารณาว่าเป็นรูปแบบชั้นสูงกว่าเทพยดา และพระองค์ทรงขอให้เทพยดาทั้งหลายรับใช้มนุษย์ แต่ซาตานไม่ยอมน้อมคำนับมนุษย์ เรื่องนี้ถูกตีความในคริสต์ศาสนาว่าเพราะซาตานยึดตนเองเป็นสำคัญจึงไม่น้อมคำนับมนุษย์ แต่ตำนานของเปอร์เซียกล่าวว่าที่ซาตานไม่สามารถน้อมคำนับมนุษย์ได้เพราะความรักที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า เขาสามารถน้อมคำนับพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนสัญญาณของพระองค์เอง แต่ซาตานปฏิบัติตนต่อสัญญาณชุดแรกอย่างหนักแน่นเสียจนไม่อาจฝืนสัญญาณนั้นได้ ซาตานจึงถูกตัดสินว่าผิดและถูกส่งลงนรก เพราะเขารักพระผู้เป็นเจ้าเหลือเกิน ทีนี้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของความเจ็บปวดแห่งนรกก็คือการปราศจากผู้เป็นที่รัก ซึ่งก็คือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง นั่นคือเครื่องหมายอันยิ่งใหญ่แห่งรัก
บางทีพลังแห่งรักนั้นแรงกล้าจนต้องถูกทำให้น้อยลง เพราะมันอาจเป็นความรักที่กลืนกินคุณ มีทั้งความปิติและความเจ็บปวดอยู่ในความรัก ยิ่งความรักแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น เพราะความรักเองคือความเจ็บปวด...ความเจ็บปวดของการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง
หมายเหตุ สรุปความจากหนังสือ "พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม" ฉบับแปลของ “The Power of Myth” [บทที่7 นิทานแห่งรักและสมรส]
โฆษณา