30 เม.ย. 2020 เวลา 02:00
การเชื่อมโยงพลังงานระหว่างกัน
แปลจากบทความเรื่อง Some Thoughts on Energetic Connection
โดย Hal Stone, Ph.D. & Sidra Stone, Ph.D. ผู้คิดค้น Voice Dialogue
Photo by Sharon McCutcheon on Unsplash
เคยไหมที่คุณสงสัยว่าทำไมคุณถึงยังรู้สึกโดดเดี่ยวทั้งๆที่คุณก็กำลังอยู่กับใครบางคนอยู่ก็ตาม? เคยไหมที่อยู่ดีๆ กลางบทสนทนาแล้วจู่ๆคุณก็รู้สึกว่าอีกคนหนึ่งเหมือนจะไม่ได้ฟังคุณอยู่เลย แต่เมื่อคุณลองถามเขาว่าได้ยินสิ่งที่คุณพูดไหม เขากลับสามารถตอบทวนคำพูดของคุณได้อย่างถูกต้อง กรณีนี้มันจะเรียกว่าอะไรดี? แล้วเคยอีกไหมว่าคุณกำลังคิดว่าคู่ของคุณสนใจคอมพิวเตอร์(สมัยนี้คงต้องเป็นโทรศัพท์มือถือ...ผู้แปล)มากกว่าคุณเสียอีก?
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เราเรียกว่าการสูญเสียการเชื่อมโยงของพลังงานระหว่างกัน (loss of energetic connection) หรือการสูญเสียสายใยที่มีต่อกัน (loss of linkage) องค์ประกอบของความสัมพันธ์ของเรานั้นมีทั้งระดับความคิด (mental) อารมณ์ (emotional) และจิตวิญญาณ (spiritual) แต่มันก็ยังมีองค์ประกอบด้านพลังงาน (energetic component) อยู่ด้วย และก็ด้าน energetic component นี่ล่ะที่เรากำลังพูดถึง มันมีหลากหลายวิธีการในการสื่อสารหรือการเชื่อมโยงกับผู้อื่น โดยทั่วไปเรามักนึกถึงการสื่อสารทางภาษาพูด แต่มันก็ยังมีวิธีการสื่อสารอื่นอีกคือ “ภาษาท่าทาง”(body language) เราสามารถส่งสัญญาณไปสู่ผู้อื่นให้รู้ว่าเรากำลังตังใจฟังเขาอยู่ เช่น การแสดงความสนใจ (affection) ความห่วงใย (caring) หรือการแสดงความรู้สึกทางเพศ (sexuality) และในทางกลับกันเราก็สามารถส่งสัญญาณความไม่อยากฟังได้ด้วย เช่น การแสดงความเบื่อหน่าย (boredom) ความรำคาญ (irritation) และการโกรธ (anger)
หลายคนที่รับความรู้สึกแบบนี้ได้ไว เช่นเขาจะรู้ทันทีว่า “เวลาที่เราไม่กล้าสบตา” แปลว่าเราไม่กล้าบอกความจริง หรือการที่เราเดินผ่านเขาไปโดยไม่พูดอะไรออกมา หรือเวลามือของเราอยู่ๆก็เย็นขึ้นมาเฉยๆ หรือแม้บางที่เราก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาแม้ว่าเราจะพูดอะไรออกไปได้อย่างมั่นอกมั่นใจก็ตามที เราทุกคนมีสัญญาณส่วนตัวจำนวนหนึ่งที่คนอื่นสามารถอ่านเราได้ และคนอื่นนั้นโดยเฉพาะคนสำคัญของเราก็ยินดีที่จะบอกเราว่าสัญญาณเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
แต่บางที energetic connection นี้ก็แตกต่างกันไป มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน พวกเราบางคนมีสนามพลัง (energy field) ที่แผ่ออกไปนอกเหนือจากกายเนื้อของเราได้ มันเป็นพลังงานที่สั่นสะเทือนอย่างละเอียดอ่อนกว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนร่างกายของเรา สิ่งนี้สามารถรับรู้ได้จากคนที่ทำงานด้านพลังงานบำบัดและชนเผ่าพื้นเมืองบางแห่ง แต่เดี๋ยวนี้มันสามารถวัดและถ่ายภาพได้ในห้องทดลอง
พวกเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องสนามพลังนี้ แต่เชื่อเถอะว่ามันมีอยู่จริง มันยังมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ของเราด้วย และมันยังมีผลถึงความรู้สึกผาสุก (feelings of wellbeing) ด้วย ตอนที่เราไม่รู้จักมันเราควบคุมมันอย่างเป็นอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่นเมื่อเราออกไปพบกับฝูงชนมากมายเราก็สามารถที่จะลดสนามพลังนี้เวลาที่เรายังไม่สะดวกที่จะพบปะกับใครได้ เวลาที่เราคิดมากกว่าที่จะรู้สึก สนามพลังของเราก็จะเย็นชา การเชื่อมโยงกับผู้อื่นก็จะเย็นชาและเฉยๆ (cool and fairly impersonal) แต่ถ้าเราอยู่ในห้วงแห่งความรัก สนามพลังงานของเราก็จะอบอุ่น (warmer) การเชื่อมโยงของเรากับผู้อื่นก็จะอบอุ่นตามไปด้วย และสนามพลังของเราก็จะหลอมรวมเข้ากับสนามพลังของอีกคนหนึ่งได้
บางทีพลังงานที่เราสื่อออกมาก็ไม่ตรงกับคำพูดที่เราเอ่ยออกมา เราอาจพูดว่าเรากำลังฟังอยู่และเราก็ได้ยินคำพูดทั้งหมดของเขานั่นล่ะ แต่ว่าเราไม่ได้ดำรงอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว (truly present) กับคู่ของเราในตอนนั้นเลยในด้านพลังงาน เช่นเดียวกันในกรณีของภาษาท่าทาง คุณก็ไม่สามารถชี้ไปได้ชัดๆว่าท่าทางต่างๆที่เปลี่ยนไปของร่างกายนั้นมันสอดคล้องกับพลังงานที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า
คนบางคนรู้วิธีที่จะยิ้มแย้มและรักษาการสบตาไว้ได้อย่างเหมาะสม แต่เขาก็ถอดถอนพลังงานของเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกันถ้าเราพูดว่า(หรือเชื่อว่า)เราจะไม่ไปยู่งกับคนนี้แล้ว แต่ความจริงก็คือในด้านพลังงานเราได้เคลื่อนพลังงานของเราเข้าไปสู่สนามพลังของอีกคนไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งนี้คือแนวทางใหม่ในการพิจารณาถึงการเชื่อมโยงและการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งเราพบว่ามันน่าหลงไหลอย่างยิ่ง เมื่อคุณรู้แล้วว่าการเชื่อมโยงของพลังงานอันอ่อนโยน (subtle energetic connection) นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง คุณก็พร้อมแล้วสำหรับข้อมูลใหม่ในความสัมพันธ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกถึงความเชื่อมโยง (feelings of connection) หรือก็คือความใกล้ชิดสนิทสนม (intimacy) นั่นเอง
โฆษณา