17 พ.ค. 2020 เวลา 12:52 • การศึกษา
พิสูจน์ชีวิตหลังความตายจาก ๗ การทดลองที่แลกมาด้วยชีวิตมนุษย์‼️
อย่าว่าแต่หลายคนบนโลกคาใจในเรื่องโลกนี้ โลกหน้าเลย เพราะทุกท่านเองก็คงเคยสงสัยเหมือนกันว่า นรกสวรรค์ มีจริงไหม ❓ โลกนี้โลกหน้าเป็นเพียงเรื่องสมมุติที่มีไว้ขู่ ใช่หรือไม่ ❓
1
เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถเห็นด้วยตา แล้วจำเป็น ด้วยหรือที่จะต้องเชื่อ และหากเชื่อ..จะจัดว่าเป็นพวกหลง งมงายหรือไม่ ⁉️แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่เชื่อล่ะ จะมีผลอย่างไร ⁉️
หากนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปในอดีตได้เราจะพบว่า ความ เชื่อเรื่องโลกหน้า เรื่องนรก-สวรรค์ เป็นประเด็นร้อนที่คนทุกยุค ทุกสมัยคาใจกันทั้งนั้น
แม้แต่ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ยังมีคนไม่เช่ือเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ขนาดพระเจ้าปายาสิ เจ้าเมือง “เสตัพยะ” เอง ถึงกับตั้งตนเป็นแกนนำตัวยง ในการปฏิเสธเรื่องนี้แบบหัวชนฝา ท้าทายความเชื่อ โดยเอาคนเป็น ๆ มาทำการทดลองเพื่อหาความมีอยู่ของ โลกหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยการฆ่านักโทษคนแล้ว คนเล่า เพื่อพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย‼️‼️
หรือแม้แต่พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์กรีกผู้เกรียงไกรเอง ก็คาใจเรื่องนี้ จนถึงกับตรัสถามพระนาคเสน ในทำนองที่ว่า จะให้เช่ือได้อย่างไรว่าปรโลกมีจริง ในเมื่อหลังจากที่คนและสัตว์ตายแล้ว เราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณที่เดินทางไปสู่ปรโลกว่ามีรูปร่างหน้าตา เป็นอย่างไร
ซึ่งพระนาคเสนก็ปลดล็อกให้คำตอบด้วยการอุปมาว่า เหมือนการส่งเสียงพูดให้คนอื่นได้ยิน ก็ไม่มีใครมองเห็นด้วยตาเปล่าว่า ในขณะที่เสียงเดินทางไปถึงหูผู้ฟังนั้น เสียงมีรูปร่าง หน้าตา หรือสีสันเป็นอย่างไร ‼️
แม้พระนาคเสนจะเปรียบอย่างน้ี แต่บางคนก็ยังยืนกรานที่จะไม่เชื่อว่ามีโลกหน้าอยู่ดี ซึ่งในด้านความเห็นของเราเอง ก็ยังไม่อยากให้ปักใจเชื่ออย่างนั้นเสียทีเดียว ตราบที่ทุกท่านยังไม่ได้รับ ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่มากพอ
4
ดังนั้น เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด เราจึงขอเสนอข้อมูลที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ หรือเสนอมุมมองที่เพิ่มขึ้น เพื่อการตัดสินใจใหม่ ซึ่งต้องดีกว่าเดิมแน่นอน ‼️
เรียบเรียงจาก : พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มท่ี ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑๐. ปายาสิสูตร ข้อ ๔๐๖-๔๔๑ หน้า ๓๔๑-๓๗๒
ผู้เดินเรื่อง
พระกุมารกัสสปะ : พระอรหันต์ผู้เป็นเลิศด้านการแสดงธรรมได้วิจิตร
พระเจ้าปายาสิ : เจ้าเมืองท่ีเป็นพวกนัตถิกวาทะ คือ เชื่อว่า“โลก
อื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี”
🏝การทดลองท่ี ๑
พระเจ้าปายาสิได้นำตัวนักโทษท่ีทำเลวมาทั้งชีวิต มาส่ังก่อนตายว่า..
ถ้าตายแล้ว...ต้องไปตกนรก ให้กลับมาบอกด้วย ซึ่งผลก็คือ ...ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกพระองค์เลยสักคน พระองค์จึง สรุปว่า โลกหน้าไม่มี
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : สมมุติว่า..ถ้านำนักโทษหรือโจรผู้ชั่วช้ามามัดแล้วจับลากไปยังแดนประหาร แต่พอโจรไปอยู่ต่อหน้า เพชฌฆาต ณ แดนประหารแล้ว โจรได้ร้องขอเพชฌฆาตว่า ..ขอกลับบ้านไปบอกญาติพี่น้องก่อน แล้วจะกลับมาให้ฆ่าใหม่
ในสถานการณ์นี้ ขอถามว่า..เพชฌฆาตจะยอมอนุญาตไหม❓
พระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า..ไม่ยอม
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า.. ขนาดเป็นแค่โจรอยู่บนโลกมนษุย์เพชฌฆาตยงัไม่ยอมปล่อยไปเลย แล้วถ้าโจรตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก นายนริยบาลจะยอมปล่อยหรือ❓
แม้พระเจ้าปายาสิได้รับคำตอบเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี
1
🏝การทดลองที่ ๒
พระเจ้าปายาสิให้นำญาติๆ ท่ีเป็นคนดี คือพวกถือศีลมาทั้งชีวิต มาสั่งก่อนตายว่า..
ถ้าตายแล้ว..ได้ไปสวรรค์ให้กลับมาบอกด้วย ซึ่งผลก็คือ..ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกพระองค์เลยสักคน
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : เรื่องนี้อุปมาเหมือน พระองค์เอาคนที่กำลังจมอยู่ในบ่ออุจจาระอันเน่าเหม็น มาอาบน้ำจนสะอาดหมดจด แล้วชโลมด้วยของหอม จากนั้นก็อัญเชิญขึ้นไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีบนปราสาท แล้วอยู่ๆจะไปเรียกให้เขาลง มาจุ่มตัวลงในบ่ออุจจาระอันเน่าเหม็นอีกเหมือนเดิม
ขอถามว่า.. เขาจะยอมมาไหม ❓
พอพระกุมารกัสสปะย้อนถามอย่างนั้น พระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า ..ไม่ยอม
พระกุมารกัสสปะกล่าวเสริมว่า เนื่องจากเทวดา จะเหม็นกลิ่นมนุษย์เหมือนเหม็นสิ่งปฏิกูล จึงไม่อยากมาใกล้มนุษย์ และแม้พระเจ้าปายาสไิด้รับคำตอบเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
🏝การทดลองที่ ๓
พระเจ้าปายาสิได้ให้ญาติและอำมาตย์ที่เป็นคนดี คือ พวกถือศีลมาส่ังก่อนตายว่า..ถ้าตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับเทพชั้นดาวดึงส์ ก็ให้ลงมาบอกด้วย ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอก พระองค์เลยสักคน
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : ก็ ๑๐๐ ปีของมนษุย์ เท่ากับ หนึ่งคืนและหน่ึงวันของสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์และการที่พวกเขาข้ึนไปบนสวรรค์ใหม่ ๆ ก็คิดกันว่า ..ขอเวลาได้เดินชมและอิ่มเอมกับความเป็นทิพย์ สัก ๒-๓ วันก่อน แล้วค่อยลงมากราบทลูพระเจ้าปายาสิ ก็ได้
เมื่อพระเจ้าปายาสิฟังแล้วโต้กลับว่า : ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ พอเทวดาลงมาบอก เราก็ตายไปแล้ว เพราะ ณ เวลาท่ีลงมานั้น เลยอายุขัยของมนุษย์ไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว อีกทั้งเราก็ไม่เชื่อว่า เทพช้ันดาวดึงส์มีอยู่จริง แล้วจะมีอายุยืนได้นานถึงขนาดน้ี
จากนั้นพระกุมารกัสสปะจึงตอบว่า : เรื่องนี้..เปรียบเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วบอกว่าไม่มีสีดำ ไม่มีสีขาว ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ในเมื่อไม่เคยเห็นสิ่งน้ัน ฉะนั้นจะมาสรุปว่า..ส่ิงนั้นไม่มีได้หรือไม่ ❓
และที่สำคัญ คนปกตธิรรมดาจะไม่อาจเห็นโลกอื่นได้ด้วยตาเนื้อ แต่คนที่เห็นได้ ต้องเป็นพวกสมณพราหมณ์ที่บำเพ็ญเพียร จนทำตาทิพย์ให้เกิดข้ึน จึงจะสามารถเห็นโลกอื่นได้
พระเจ้าปายาสิ : แล้วถ้าคนทำความดี หลังตายแล้วจะได้ ไปเสวยกรรมดี ทำไม..พวกเขา จึงไม่รีบฆ่าตัวตาย เพื่อรีบไป เสวยผลที่ดีกว่าทันทีเลยเล่า ❓ ทำไม..ถึงยังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อ❓
พระกุมารกัสสปะ : สมมุติว่า..มีพราหมณ์คนหนึ่งเขามีภรรยา ๒ คน คนแรกมีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ คนที่ ๒ กำลังต้ังครรภ์ แต่อยู่ๆพราหมณ์ผู้เป็นสามีเกิดตายลง ซึ่งสมบัติจะตกเป็นของลูกชาย ๑๐ ขวบท้ังหมดได้ก็ต่อเมื่อ ลูกชายคนนั้นต้องเป็นลูกชายคนเดียวของพราหมณ์เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง... ลูกชาย ๑๐ ขวบคนน้ี จึงไปพูดกับแม่เลี้ยงซึ่งเป็นภรรยาของ พ่ออีกคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ว่า..ถ้าลูกที่อยู่ในครรภ์คลอดออกมา เป็นชายเหมือนกัน ก็จะได้สมบัติของพ่อครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าคลอด ออกมาเป็นหญิง..ก็จะไม่ได้สมบัติ แล้วลูกหญิงน้ัน..ก็ต้องเป็น คนรับใช้ของตน
ซึ่งลูกชาย ๑๐ ขวบคนน้ี ก็พยายามรบเร้าไต่ถามแม่เลี้ยงถึง ๓ คร้ัง จนแม่เลี้ยงเกิดความรำคาญและอยากรู้ให้รู้แล้วรู้รอดไป จึงเอามีดกรีดท้องตัวเองแล้วแหวะครรภ์ออกมาดูเพื่อให้รู้ไปเลยว่า..ลูกในท้องเป็นหญิงหรือชายกันแน่
ด้วยเหตุน้ี จึงทำให้เด็กในท้องตายและตัวแม่เลี้ยงเองก็ตายด้วยแถมยังไม่ได้สมบัติอะไรเลย
ขอถามว่า..การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือฉลาดกันแน่ ❓❓
ในทำนองเดียวกัน คนที่ทำความดีท้ัง ๆ ท่ีรู้ว่า..จะได้รับผลของกรรมดีในอนาคต แต่เขาก็ยังไม่อยากรีบตาย เพราะคิดว่า..ยิ่ง เขามีชีวิตอยู่และสั่งสมความดีให้มากขึ้นอีกเท่าไร เขาก็ยิ่งได้บุญ มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้หลังตายแล้ว ย่ิงได้เสวยผลบุญใน อนาคตเพิ่มขึ้นไปอีก อีกทั้งการดำรงชีวิตอยู่ ของเขาก็ยังมีคุณค่า และยังประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้อีกมากมายนัก
🏝การทดลองที่ ๔
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรใส่หม้อทั้งเป็น และปิดปากหม้อให้แน่นโดยเอาหนังสดรัด อีกทั้งยังพอกปากหม้อด้วย ดินเหนียว เพื่อหวังไม่ให้อะไรเล็ดลอดออกมาจากหม้อได้เลย จากนั้นก็เอาหม้อมาต้มโจรทั้งเป็นจนตาย พอตายแล้วก็เปิดปากหม้อออกมาดูเพื่อพิสูจน์ว่า จะมีวิญญาณออกมาจากร่างโจรไหม ซึ่งก็ไม่เห็นเลย
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้อุปมาเหมือนกับ ขณะที่พระองค์นอนหลับแล้วฝันไปว่า..ได้ไปโน่นไปนี่ ขอถามว่า.. ข้าราชบริพารที่รายล้อมเฝ้ากายเนื้อของพระองค์ขณะหลับอยู่ ได้เห็นวิญญาณของพระองค์ออกจากร่างไปไหนมาไหนหรือไม่❓ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า..ไม่เห็น
1
🏝การทดลองท่ี ๕
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรมาจับมัดแล้วชั่งน้ำหนักตอนมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็เอาเชือกมัดให้ขาดใจตาย แล้วก็นำมาชั่งอีกทีหน่ึงปรากฏว่า..ตอนเป็นๆร่างกายมีน้ำหนักเบากว่า ตัวอ่อนนุ่มกว่า แต่พอตายแล้ว ..ร่างกายกลับมีน้ำหนักที่มากกว่า แข็งกระด้างกว่า ซึ่งถ้าวิญญาณออกจากร่างไปจริงๆ ทำไมน้ำหนัก หลังตายถึงมากกว่า❓
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : การชั่งน้ำหนักก้อนเหล็กที่กำลังถูกเผาจนร้อน กับชั่งก้อนเหล็กท่ีเอาออกจากไฟแล้วทิ้งให้เย็น น้ำหนักตอนไหนมากกว่ากัน❓และเหล็กก้อนไหนที่ตีง่ายกว่า และอ่อนนุ่มกว่า ❓
พระเจ้าปายาสิตอบว่า..ก้อนเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนตีง่ายกว่าอ่อนนุ่มกว่า...‼️
พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายต่อว่า : เช่นเดียวกัน พอเอาเหล็กออกจากไฟแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำหนักก็จะมากกว่า เย็นกว่า แข็งกระด้างกว่า ตีได้ยากกว่า เหมือนกับคนตอนมีวิญญาณ ก็จะมีไออุ่น แล้วร่างกายก็จะเบากว่า
🏝การทดลองที่ ๖
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองฆ่าโจรโดยใช้วิธีที่ทำให้ร่างกายไม่บอบช้ำใดๆเลย และพอตายแล้วก็พลิกให้นอนหงาย นอนค่ำ นอนตะแคง เพื่อดูการออกมาของวิญญาณ ซึ่งพอดูแล้วก็ไม่เห็นวิญ ญาณออกจากร่าง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านสงสัยต่อไปอีกว่า..ทั้งๆที่ร่างกายก็ไม่เสียหายบอบช้ำอะไรมากสักหน่อย แต่ทำไมอวัยวะต่างๆจึงไม่ตอบสนองอะไรเลย❓
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : กรณีนี้เปรียบเหมือนกับชายคนหนึ่งไปยืนเป่าสังข์กลางหมู่บ้าน ๓ ครั้งแล้วหยุดเป่า พอชาวบ้าน แห่กันออกมาดูตามเสียงของสังข์ที่ดังขึ้น ก็ไม่เห็นที่มาของเสียงอันไพเราะนั้น จึงได้ไปหยิบสังข์ขึ้นมา โดยเอามาคว่ำบ้าง
ตะแคงบ้าง ลากไปลากมาบ้าง คือไม่ว่าจะทำอย่างไร..ก็ไม่มีเสียงออกมาจากสังข์
ชายคนที่เป่าสังข์จึงคิดว่า..ชาวบ้านพวกนี้ช่างโง่จริงๆ ที่หาที่มาของเสียงสังข์โดยไม่ถูกวิธี แล้วจะเจอได้อย่างไร เมื่อคิดอย่างน้ี จึง หยิบสังข์ขึ้นมาเป่า โชว์ให้ชาวบ้านดู ชาวบ้านจึงร้อง อ๋อ..เกิดความเข้าใจว่า..สังข์จะส่งเสียงออกมาได้ก็ต้องมีคน มีความพยายาม และมีลมเป่า เรื่องนี้ก็เช่นกัน เปรียบเหมือนกับ
ร่างกายมนุษย์ท่ีต้องมีไออุ่นและมีวิญญาณ ถึงจะขยับและรับรู้ได้‼️
🏝การทดลองที่ ๗
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรมาถลกหนัง แล่เนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูก เพื่อหาวิญญาณ แต่ก็ไม่เห็นวิญญาณ‼️
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับเรื่องของชฎิลบูชาไฟ ซึ่งมีอยู่วันหน่ึง..ชฎิลไม่อยู่ จึงสั่งเด็กว่าให้คอยดูไฟที่จุด ไว้ว่า อย่าให้ดับ
แต่ปรากฏว่า ..เด็กมัวแต่เล่นจนลืมเติมฟืน ไฟจึงมอดดับ จากนั้นเด็กจึงพยายามติดไฟใหม่ โดยรีบไปเอามีดมาถากไม้สีไฟบ้าง ผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีกบ้าง ซึ่งพอทำอย่างนี้แล้ว ไฟก็ยังไม่ติด
1
จากนั้นเด็กจึงตัดสินใจผ่าไม้เป็นซีกเล็กๆ ไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะหาไฟที่ซ่อนอยู่ในไม้เจอ แต่สุดท้าย..ก็ไม่เจอ เลยสบับไม้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอามาโขลกในครก ครั้นพอโขลกจนละเอียดแล้ว ก็ยังหาไฟที่แทรกอยู่ในไม้ไม่เจออยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ จึงเอาไม้ในครกโปรยไปในท่ีมีลมแรง เพื่อหาไฟที่ซ่อนอยู่ในผงไม้ ถึงแม้ทำขนาดน้ีแล้ว แต่เด็กก็ยังหาไฟไม่เจออีก ก็เพราะเด็กหาไฟไม่ถูกวิธี
ทันใดนั้น...พอชฎิลกลับมา ได้เห็นเด็กกระทำการหาไฟด้วยวิธีโง่เขลาเช่นนั้น จึงได้อธิบายให้เด็กฟังแล้วเอาไม้ ๒ อัน มาสีกันจนเกิดไฟให้เด็กดู
ซึ่งพระองค์ ก็เหมือนกัน..พระองค์ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนน้ีเลย ท่ี แสวงหาโลกน้ีและโลกหน้า โดยไม่ถูกวิธี แล้วจะเจอได้อย่างไร ?
เมื่อพระกุมารกัสสปะอธิบายมาถึงตรงนี้ จึงทูลขอให้พระเจ้าปายาสิละทิฐิและยอมสละความเห็นผิดเช่นนี้เสีย แต่พระเจ้าปายาสิไม่ยอม จึงพูดขึ้นว่า ..หากยอมสละทิฐิและความเชื่อนี้ ก็จะมีคนมาว่าโยมได้ว่า ..พระเจ้าปายาสนี้ช่างโง่เขลาไม่ฉลาด ที่ผ่านมาได้ยึดถือแต่สิ่งผิดๆ มาตลอด ‼️‼️
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับเรื่องของนายกองเกวียน ๒ คน คนแรกได้นำคณะเกวียน ๕๐๐ คน เดินผ่านพ้นที่กันดารโดยบรรทุกหญ้า ฟืน ใบไม้ และน้ำไปด้วย แต่ระหว่างทางพอได้เจอคนตัวเปียกชุ่มเดินสวนทางมา แล้วตะโกนบอกว่า..ข้างหน้ามีแหล่งน้ำ มีฟืนมากมาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องบรรทุกน้ำบรรทุกฟืนให้หนักเปล่า ๆ
ด้วยเหตุนี้..นายกองเกวียนจึงเชื่อ แล้วสั่งให้ทกุคนทิ้งสัมภาระทแงมด แต่อนิจจาพอเดินทางต่อไปจริง ๆ กลับไม่พบฟืนหรือแหล่งน้ำใดๆ เลย และด้วยความหิว อ่อนล้า ทำให้พวกเขาหมดแรง แล้วถูกพวกอมนุษย์จับกินหมด
ตรงกันข้ามมีนายกองเกวียนอีกคณะหนึ่ง นำกองเกวียน ท้ัง ๕๐๐ คนเดินทางไปบนเส้นทางเดียวกัน และเจอเหตกุารณ์เหมือนกัน แต่นายกองเกวยีนคนนี้ไม่ยอมทิ้งสัมภาระใดๆ เลย จึงทำให้หมู่คณะทั้งหมดรอดชีวิตได้
จากเรื่องนี้..พระองค์ก็เหมือนผู้นำกองเกวียนคนแรก ซึ่งนอกจากพระองค์จะวอดวายแล้ว ยังนำคนจำนวนมากให้วอดวายตามไปด้วย ดังนั้นให้พระองค์ละทิฐิและความเห็นผิดๆเสียเถิด
แม้พระกุมารกัสสปะพูดถึงขนาดนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังยืนยันที่จะไม่ละความเชื่ออยู่ดี‼️
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องนี้..เปรียบ เสมือนคนขนขี้หมูใส่ห่อผ้าแล้วเทินไว้บนหัว เพื่อเอาขี้หมูไปเป็นอาหารให้หมูของตน แต่ระหว่างทางฝนตก เลยทำให้ขี้หมูท่ีถูกน้ำในห่อผ้าไหลเละออกมาเป็นทาง เหม็นเลอะไปทั้งตัว ซึ่งพอชาวบ้านเห็นก็ต่างรุมด่าว่า ..คนบ้า
แต่ชายคนที่เทินขึ้หมูกลับบอกว่า ตนไม่ได้บ้า แต่ชาวบ้านที่ด่าตนต่างหากที่บ้า ซึ่งพระองค์ก็กำลังเป็นแบบชายคนนี้ ดังนั้นจงละทิฐิและความเห็นผิดนี้เถิด ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ไม่ยอมละและยังคงยืนยันคำเดิม
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องน้ี..เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คน คนแรกเล่นชนะตลอด แต่เมื่อชนะทีไรก็จะรีบกลืนเบี้ยของอีกฝั่งหนึ่งเข้าไป คนแพ้เลยขอต่อรองว่า งั้น..ขอเบี้ยคืนมาบ้าง จากนั้นคนแพ้ก็เอาเบี้ยมาอาบยาพิษ และนัดกันเล่นสกาใหม่
ซึ่งเมื่อคนเดิมชนะอีก ก็กลืนเบี้ยของอีกฝั่งหนึ่งเข้าไปอีก แต่เบี้ยครั้งน้ีเป็นเบี้ยอาบยาพิษ เลยทำให้คนชนะตาย พระองค์ก็เหมือนกับคนกลืนเบี้ยอาบยาพิษนั่นแหละ และแม้พระกุมารกัสสปะพูดถึงขนาดนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ละทิฐิอยู่ดี
1
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องนี้..เปรียบเสมือนชาย ๒ คนเดินทางไกล ระหว่างทางได้เจอเปลือกป่าน ก็ได้พากันเอาเปลือกป่านมาเรียงมัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วแบกไปคนละมัด แต่พอชายคนแรกเดินต่อไปเจอด้ายป่าน ก็ทิ้งเปลือกป่านแล้วบอกเพื่อนคนที่ ๒ ว่า ให้ทิ้งเปลือกป่านเพื่อเอาสิ่งที่มีค่ากว่าแบกแทน
แต่ชายคนท่ี ๒ ไม่ยอมทิ้ง โดยให้เหตุผลว่า.. อุตส่าห์แบกเดินทางมาตั้งไกล แล้วอีกทั้งยังอุตส่าห์มัดเรียงอย่างเป็นระเบียบขนาดน้ีจะให้ทิ้งได้อย่างไร จึงไม่ยอมทิ้ง
จากนั้นพอเดินทางต่อไปอีก พวกเขาก็ได้เจอสิ่งมีค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ อีก คือ เจอเปลือกไม้โขมะ เจอลูกฝ้าย เจอผ้าฝ้าย เจอเหล็ก เจอดีบุก เจอสำริด เจอเงิน เจอทองคำ ตามลำดับไปเรื่อยๆซึ่งชายคนแรกก็ทิ้งสิ่งที่มีค่าน้อย และเลือกเอาสิ่งที่มีค่ามากกว่าแบกแทนเสมอ แต่ชายคนท่ี ๒ ไม่ยอมทิ้งเปลือกป่านสักที
จนสุดท้ายพอเดินทางมาถึงที่หมาย ชายคนแรกก็ได้รับคำชื่นชม จากครอบครัวและกลายเป็นคนรวยไปในที่สุด ส่วนชายคนท่ี ๒ ก็ยังยากจนเหมือนเดิม ซึ่งพระองค์ก็เหมือนกับชายคนที่ ๒ นั่นแหละ ดังนั้น พระองค์โปรดละทิฐิและความเห็นผิดๆ นี้เสียเถิด ‼️‼️
พอพระเจ้าปายาสิฟังมาถึงตรงนี้ จึงยอมละทิฐิและขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะในที่สุด
ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มีความคิดเหมือนพระเจ้าปายาสิ ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ทั้งๆ ที่มีคนคิดต่างจํานวนไม่น้อยเช่นกัน พยายามแย้งกลับด้วยคําถามที่ว่า ..ถ้าไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าหรือชีวิตหลังความตายแล้ว จะใช้เหตุผลใดอธิบายว่า..ทำไมมีคนจำนวนมากเห็นผี ? หรือสัมผัสวิญญาณ หรือพลังงานบางอย่างได้ ? หรือไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติได้ ! หรือแม้แต่การให้เหตุผลเรื่องการระลึกชาติ ที่บางคนระลึกได้จริงโดย มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ‼️‼️
จากข้อมูลตรงนี้เอง ทุกท่านคงมีข้อมูลในการตัดสินได้มากขึ้นแล้วสำหรับความเชื่อเรื่องโลกหน้า ซึ่งหากมาคูกันจริงๆ ในเชิงการได้ประโยชน์จากการที่เราเชื่อว่าโลกหน้ามีจริง เราจะได้รับผลดีมากกว่าการไม่เชื่อ เพราะเราจะได้ความอุ่นใจ ๔ ประการดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “เกสปุตตสูตร” ว่า
๑) ถ้าโลกหน้ามีจริง หากเราทำดี ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน
๒) ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง หากเราทำดี ก็จะไม่เดือดร้อน และมีความสุขในโลกปัจจุบัน
๓) หากเราไม่ทำบาปเลย เราก็จะไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน
๔) หากเราไม่ทำบาป ก็จะทำให้เราเห็นถึงความบริสุทธิ์ ของตนว่า เรานั้นไม่ทำบาป และแม้ว่าคนอื่นเขาจะทำบาป แต่ตัวเราเองก็ไม่ทำบาปตามกระแส
เชื้อโรค คลื่นโทรศัพท์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มี แต่เราจะสามารถมองเห็นและตรวจวัดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับมัน
นรก สวรรค์ ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน จะสามารถพิสูจน์ได้ ก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ซึ่งก็คือจิตที่ถูกฝึกจนได้อภิญญา จึงจะสามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง...
🌟รับธรรมะดี ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความสุขภายในได้ที่นี่
⚡️Line
⚡️Facebook
⚡️YouTube
⚡️Instagram
⚡️Twitter
⚡️Pinterest
⚡️Spotify
⚡️Apple Podcasts
⚡️JOOX
⚡️TikTok
⚡️Blockdit

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา