12 พ.ค. 2020 เวลา 06:49 • ท่องเที่ยว
เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวเอง คือ ความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าไปถึงแล้วจะเจอปัญหาอะไร จะไปที่นั่นได้อย่างไร จะไปทางไหนดี วางแผนไว้แล้วต้องเปลี่ยนกะทันหัน จะทำอย่างไร
สมองต้องคิด ในกรอบใหม่ๆที่ไม่ซ้ำกับชีวิตทำงานประจำที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ชอบการเดินเสาะแสวงหา มุมนั้นจะมีอะไร ตรอกนี้มีตึกน่าสนใจไหม ชอบเดินไปกลับไม่ซ้ำเส้นทางเดิมอย่างฉัน ก็เที่ยวแบบนี้ได้สนุกค่ะ
ฮอลแลนด์ เป็นประเทศที่ถูกมองข้ามมาตลอด แต่พอได้มาสัมผัสแล้วกลับชอบ บ้านเมืองสงบเงียบ แม้แต่ในเมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัม ยังมีลำคลองที่เงียบสงบ ต้นไม้ใบเขียวอ่อนโค้งย้อยโน้มกิ่งลงสู่ลำน้ำใส คนออกมานั่งห้อยขาริมคลอง บ้างก็นั่งอ่านหนังสือบนผืนหญ้าเขียว รับแดดอุ่น ครอบครัวพากันขี่จักรยานออกเที่ยวในวันเสาร์ พ่อขี่นำ ลูกชายตัวน้อยขี่เคียงไปข้างๆ
เมืองที่ประชากรหนาแน่น แต่ดูไม่วุ่นวาย รถรางแล่นไปมาเงียบๆ ไม่มีมอเตอร์ไซค์ส่งเสียงดังพ่นควันดำ เพราะ ผู้คนต่างเดินทางด้วยจักรยาน นักท่องเที่ยวก็เดินเที่ยวเป็นกลุ่มๆ หรือไม่ก็นั่งเรือไปตามลำคลอง ที่มีทั้งคลองสายใหญ่ และคลองซอยเล็กๆที่เรือท่องเที่ยวผ่านได้พอดีๆทีละลำเท่านั้น
พฤหัสบดี ที่ 3 พค 61 เช้าเรานั่งรถไฟออกจาก Antwerp ในเบลเยี่ยม นั่งรถไฟIntercity ซึ่งราคาถูกกว่า Thalys ซึ่งวิ่งตรงไปAmsterdam เลย แรกๆขึ้นก็รถว่างๆนั่งกันคนละที่ริมหน้าต่าง เอากระเป๋าเดินทางคนละใบไว้ที่นั่งข้างๆได้. มีช่องให้วางกระเป๋าของแต่ละตู้แต่อยู่ห่างจากที่เรานั่ง ก็ไม่อยากเอาไปไว้ไกลตา
นกฟลามิงโก ในสวนสัตว์ Antwerp
นั่งได้สบายๆแล้วก็หยิบอาหารเช้าขึ้นมานั่งกินจนอิ่ม เตรียมงีบ. พอรถไฟเริ่มหยุดจอดก็มีคนเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นั่งตรงโน้นตรงนี้ ถึง Rotterdam ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ คราวนี้ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หญิงชายกรูกันขึ้นมาเป็นพรวน 4-5คนน่าจะมาด้วยกันเป็นครอบครัว ค่อยๆจ่อมนั่งที่อื่นจนเต็มแล้ว เหลือที่นั่งข้างฉันที่วางกระเป๋าใหญ่อยู่แค่ที่เดียว มองตากันไปมาสักครู่ ฉันก็เลยต้องเอากระเป๋ามาวางที่ข้างหน้าที่นั่งตัวเอง. ทีนี้ขาก็ไม่มีที่วางแล้วใช่ไหม ก็ต้องยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนกระเป๋าตัวเอง โชคดีที่เหลืออีกแค่ครึ่งทาง ไม่งั้นขาคงเป็นเหน็บไปเสียก่อน
เราลงที่ Schiphol Airport ซึ่งถึงก่อน Amsterdam Central เพราะ จองที่พักไว้ที่ Sheraton Airport Hotel ยอมจ่ายแพงหน่อย เพราะพักที่นี่คืนวันศุกร์คืนเดียวก็กลับแล้ว แต่วันนี้เราแวะเอากระเป๋าใหญ่ฝากไว้ 2 ใบ เหลือกระเป๋าลากไปแค่ใบเดียว เพื่อจะไปค้างที่ Lisse คืนพฤหัส เตรียมเที่ยว Keukenhof วันศุกร์
สถานี Amsterdam Central
พนักงานที่รับฝากกระเป๋าที่ Sheraton รับฝากกระเป๋าเราอย่างง่ายดายจนฉันตกใจ เขาไม่เรียกดูpassport หรือใบจองโรงแรมของฉันเลย แค่ให้เขียนชื่อผูกกระเป๋าไว้ ฉีกครึ่งหนึ่งให้เราเก็บไว้วันมารับกระเป๋า เฮ้ย! ถ้าฉันอยากจะวางระเบิดโรงแรมยู ก็ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ ใครก็ได้ลากกระเป๋ามาฝาก จริงๆต้องรัดกุมมากกว่านี้
เอาล่ะ ตัวเบาแล้ว (หมายถึงฉันนะ ไม่ต้องลากกระเป๋าแล้ว นั่นเป็นหน้าที่ของลูก )หาทางไป Lisse กันเถอะ ตามโบรชัวร์ของสวน Keukenhof บอกว่า จาก Schiphol ไปบัส 858
เดินออกมาก็เจอป้ายไฟเลยค่ะ อันใหญ่เบ้อเร่อ เขียนว่า” Bus858 “พร้อมพนักงานใส่ชุดสีส้มยืนบอกทาง ว่าให้ไปทางขวา เดินอีกสักพัก ก็มีป้ายไฟอีก ให้ตรงไป แล้วเลี้ยวขวา พอถึงก็เห็นคนเข้าคิวซื้อตั๋วรถบัส ก็ไปต่อคิว ก่อนซื้อก็ถามว่า “รถจอดที่ Lisseไหมคะ ฉันขอลงที่นั่นก่อน”
“ อ๋อ ไม่แวะที่ไหนค่ะ ตรงไปสวนเลย” (นี่ถ่ายทอดฉบับแปลไทยแล้วนะคะ)
“อ้าว ! แล้วป้าจะไป Lisse ยังไงล่ะ “ “ต้องไปที่จอดบัสอีกที่หนึ่งค่ะ” แล้วก็ชี้มือไปทางโน้น.....
Lisse เมืองเล็กๆที่เงียบสงบ
ป้ามองตามมือ แล้วออกเดิน ลูกทัวร์อีก 2คนรีบจ้ำตาม เอ้อ!แล้วบัสเบอร์อะไรล่ะ ลืมถาม ไม่เป็นไร เจอพ่อหนุ่มใส่ชุดส้มเจ้าหน้าที่ของสวนอีกคนที่ยืนอยู่พอดี “ บัสไป Lisse เบอร์อะไรคะ”
“ 361 ครับ นั่นไงคันสีน้ำเงินกำลังเลี้ยวเข้ามาพอดี “
ฉันรีบขอบคุณแล้วเดินตัวปลิวไปก่อน กลัวรถวับหายจากสายตาแล้วจะหาไม่เจอ 361 .....361. ท่องไว้ก่อน อย่าเพิ่งลืม
ข้ามถนนแล้วเดินไปอีกตั้งไกล เริ่มเหนื่อยเพราะจ้ำมาตลอด
พอถึงที่จอดสาย 361 ก็รีบเดินขึ้นไปบนรถ ยังหายใจหอบแฮ้กๆอยู่
“บัสคันนี้...(แฮก)…ไป…Lisse …(แฮก)ไหมคะ?”
คนขับรถหนุ่มจมูกโด่ง ไว้หนวดครึ้มๆ มีเคราดกพองาม เงยหน้าขึ้นจากกล้วยหอมที่กำลังกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยสบายใจ ขึ้นมามองหน้าฉัน หน้ายิ้มๆในที คงคิดว่า ป้านี่ทะเล่อทะล่ามาจากมุมไหนของโลกเนี่ย
“Yes “
“I would like to go to Lisse , 3persons เดี๋ยวอีก 2 คนกำลังตามมา” พากย์ไทยดีกว่า มันกว่า
“19.50 ยูโรครับ “ ฉันเตรียมแบ๊งค์ 20ไว้พอดี ก็ควักมาจ่าย
“เราไม่รับเงินสดครับ มีบัตรเครดิตไหมครับ แตะบัตรแล้วใส่ pin code ที่นี่” หนุ่มดัชท์รูปหล่อ ตอบช้าๆเนิบๆ ใจเย้นเย็น ชี้ไปที่เครืองรับบัตรเตรดิต
ร้านขายภาพ ,Lisse
พอดีลูกทัวร์อีก 2คน ลากกระเป๋าตามมาถึงก็ถูลู่ถูกังเอากระเป๋าขึ้นรถมาได้อย่างทุลักทุเล ยังไงวันนี้เราต้องไป Lisse ด้วยบัสคันนี้แหละ
ฉันเอาบัตรออกมาแตะ แต่ไอ้ พินโค้ดนี่ ที่เมืองไทยป้าไม่เคยมีไม่เคยใช้ บัตรมันก็เด้งสิ จ่ายไม่ได้. เอ้า บัตรของลุงล่ะ มีไหม พิน พินอะไรเนี่ย แตะอีกใบก็เด้ง
เหงื่อเริ่มตก ฉันจะทำอย่างไรดี เงินสดไม่รับ บัตรเครดิตใช้ไม่ได้ หน้าฉันคงจะซีด ถอดสี ทั้งตกใจ ทั้งเดินมาเหนื่อยๆ
“ป้านั่งก่อนนะ เดี๋ยวผมเช็คว่าเครื่องแตะบัตรเสียหรือเปล่า”
หนุ่มกัดกินกล้วยคำสุดท้ายหมด ก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ท่าทางสบายๆไม่เคร่งเครียด มาดูเครื่องก็ใช้ได้ดีนี่นา
ฉันใช้หัวสมองคิดๆๆๆ ทำไงดีหว่า หันไปมองรอบๆรถ มีหญิงชาย วัยกลางคนนั่งอยู่คู่หนึ่ง ข้างหลังมีแม่กับเด็กอีก 2 คน
“ถ้าเอาเงินสดให้ใครช่วยแตะบัตรจ่ายค่าเดินทางให้ได้ไหมคะ” ในใจฉันคิดว่าถ้าได้ จะถาม2คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าก่อน
“ได้ครับ เอาบัตรของผมนี่ แหละ แต่ผมไม่มีตังค์ทอนนะ” หนุ่มคิดสะระตะแล้ว ตูนี่แหละจะต้องช่วย ไม่งั้นกรุ๊ปป้าทัวร์นี้คงไม่ยอมลงจากรถง่ายๆ
Lisse เมืองน่ารัก
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ขอบคุณในน้ำใจของหนุ่มหล่อคนขับรถบัส 361 ที่ช่วยเหลือในสิ่งที่เกินความคาดหมาย ใจเย็น และเป็นมิตร เขาขับไปครึ่งทางก็เปลี่ยนกะ ให้คนขับที่ผมขาวอีกคนขึ้นมาขับต่อ พร้อมทั้งบอกส่งเวรด้วยว่า กลุ่มป้าทัวร์นี้จะลง Lisse Central ถ้าถึงให้ช่วยบอกป้าแกด้วย
พวกเราก็ได้เดินทางโดยรสบัสของ ฮอลแลนด์ เป็นครั้งแรกด้วยความประทับใจสุดๆ จำไว้เลยว่า บัสที่นี่ไม่รับเงินสดค่ะ
(โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ)
ทุ่งทิวลิป ,Lisse

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา