13 พ.ค. 2020 เวลา 01:01
เรื่องสั้น : คลื่นชีวิต
"ตาย...นี่ฉันตายไปแล้วหรือ การตายเป็นอย่างนี้นี่เองซินะ" วาทีบอกกับตัวเอง ในตอนที่เขารู้สึกตัวล่องลอยอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเพ่งมองไปข้างหน้า ก็ได้รู้ว่า ตัวเองอยู่ในงานศพ และภาพหน้าโลงศพนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นภาพของเขา แถมหญิงสาวที่นั่งรับแขกด้วยดวงตาแดงก่ำนั้นก็คือโสภิต เมียรัก
แม้จะยังสับสน แต่เมื่อพยายามทบทวนความทรงจำ วาทีมองเห็นตัวเองกำลังขับรถกลับบ้านกลางดึก และเพียงวูบเดียวเท่านั้น ที่ลำแสงหน้ารถของสิบล้อในเลนฝั่งตรงข้ามพุ่งทะยานเข้ามาใส่ ก่อนที่สติทั้งหมดจะดับลง และมารู้สึกตัวอีกครั้งที่นี่ ในสภาพที่ไม่มีร่างกาย แต่เป็นเพียงละอองบางเบาในอากาศ
วาทีนึกถึงโสภิต แล้วทันใดนั้นเองก็ดูเหมือนเขาจะมายืนอยู่เคียงข้างหล่อน เขาไม่ได้เดินมา แต่เพียงแค่นึก ก็มาได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ นี่ล่ะหรือ ผลของการตาย วิญญาณเป็นอย่างนี้เองซินะ เขามองโสภิตอย่างพิจารณา โธ่เอ๋ย หลังจากแต่งงานกันมาได้ 10 กว่าปี พยายามกันมานักต่อนัก เธอเพิ่งจะตั้งท้องได้เพียง 2 เดือนเศษ แล้วลูกของเขาก็ไม่มีโอกาสจะได้เห็นหน้าพ่อ
เมื่อนึกถึงลูก วาทีก็นึกได้ถึงเรื่องสำคัญ ตอนที่รู้ว่าโสภิตตั้งท้อง วาทีรีบตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ก่อนจะบอกข่าวดีกับภรรยาว่า ด้วยการทำงานหนักมาตลอด เขามีเงินเก็บอยู่ราวๆ 6 ล้านบาท
“เอาไว้รับขวัญลูก” วาทีเคยบอกโสภิตที่ยิ้มแป้นกับเขาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
แล้วตอนนี้ล่ะ ก่อนตายไม่กี่วัน วาทีนำเงินเก็บเกือบทั้งหมดไปลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้า ตั้งใจว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ให้ภรรยาในวันที่ลูกคลอด เขาหวังเก็งกำไรจากการลงทุนในสิ่งที่คนเรียกกันว่าทองคำกระดาษ ว่ากันว่า ลงทุนไม่กี่เดือน หากราคาทองคำขึ้น เขาจะได้กำไรมากพอที่จะรับขวัญลูก หรือแม้จะยังไม่กำไรในวันที่ลูกลืมตามาดูโลก ก็ยังเก็บเอาไว้ขายในวันที่ลูกเข้าโรงเรียน หรือในยามจำเป็น ลูกของเขาจะต้องมีเงินทุนเพียงพอที่จะได้เกิดมาเป็นเด็กที่สุขสบาย ปัญหามีเพียงอย่างเดียวคือ เขาตายแล้ว ตายก่อนที่จะได้บอกโสภิตว่า เงินทั้งหมดของครอบครัว ถูกโยกย้ายจากบัญชีเงินฝากและกองทุนต่างๆ ไปไว้ในตลาดทองคำล่วงหน้า
เรื่องที่หวังจะให้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับโสภิตและลูก กลายเป็นปัญหาใหญ่เสียแล้วในตอนนี้ วาทีไม่ได้บอกใคร ไม่ได้สั่งเสียไว้ก่อน ก็เขาไม่รู้นี่ ว่าจะตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นลูกที่เฝ้ารอ
เขาต้องบอกโสภิตให้ได้ ว่าเงินเก็บทั้งหมดอยู่ที่ไหน แต่ทำยังไงกันล่ะ คนที่ตายไปแล้ว จะสื่อสารกับคนเป็นยังไง
วาทีวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ภรรยาตลอดทั้งคืน เขาพยายามพูดกับเธอ พยายามแตะตัวเธอ แต่ทุกอย่างไม่เป็นผล
“ฉันเป็นผี ผีที่ไม่มีตัวตน แล้วฉันจะทำยังไง” วาทีรำพันกับตัวเองอย่างหมดหวัง
เมื่อเสร็จสิ้นงานศพ เขาตามเธอกลับไปบ้าน ที่นั่นเอง ที่เขาได้พบชายสูงวัยแปลกหน้าคนหนึ่ง ยืนเอามือไพล่หลังอย่างสบายอารมณ์อยู่ในลานจอดรถหน้าบ้านเขา ทำเอาวาทีหงุดหงิด และเพียงแค่คิด เขาก็มาอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนั้น
“กลับมาแล้วเหรอวาที” ชายคนนั้นเอ่ยทัก
วาทีตกใจอย่างมาก นี่ชายคนนี้มองเห็นเขา พูดคุยกับเขาอย่างนั้นหรือ ตลอดทั้งคืนในงานศพที่เขาเพียรพยายามพูดคุยกับใครต่อใคร ก็ไม่มีใครมองเห็นเขา แต่ชายแปลกหน้าที่มายืนในบ้านของเขา กลับทักทายราวรู้จักกันดี
“คุณ...คุณมองเห็นผมด้วยเหรอ แล้วคุณเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านผม” วาทีละล่ำละลักถาม
“เห็น และข้าก็อยู่ที่นี่มานานแล้ว ข้าเป็นเจ้าที่ เฝ้าแผ่นดินตรงนี้มาตั้งแต่ก่อนเจ้าเกิด” ชายผู้ดูผุดผ่องคนนั้นตอบกลับ ทำเอาวาทีอึ้ง สมองของเขาอึงอลไปด้วยคำถาม ความสับสนถาโถมเข้ามามากขึ้นไปอีก อ้อ ใช่ล่ะซิ เขาเพิ่งจะทำความเข้าใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง ว่าเขาตายแล้ว ตายอย่างไม่มีข้อสงสัย กลายเป็นเพียงวิญญาณล่องลอยไปมา แถมยังมาเจอลุงคนนี้ ที่บอกว่าเป็นเจ้าที่ นี่ซินะ เรื่องเบื้องหลังความตายที่เขาต้องพบ
“ลุง...เอ่อ ไม่ใช่ซิ ท่าน เอ ผมจะเรียกอะไรดี” วาทียังจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก
“เรียกลุงก็ได้ไอ้หนู ง่ายดี ข้าเป็นเพียงเจ้าที่เล็กๆ ไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอก”
“เอ่อ ครับ ลุงก็ลุง ลุงอยู่บ้านผมมานานแล้วเหรอ”
“นาน..นานมาก ข้าอยู่เฝ้าที่ตรงนี้มาตั้งแต่ก่อนรัตนโกสินทร์”
“โอ้โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ งั้นลุงก็ต้องมีฤทธิ์เดชมากซิ ลุงช่วยผมได้ไหม” พอนึกขึ้นมาได้ วาทีก็เริ่มตระหนักว่า เขามีภารกิจสำคัญที่จะต้องบอกโสภิตให้รู้เรื่องเงินที่เขาเอาไปลงทุน มันเป็นเงินเกือบทั้งหมดที่เขามีอยู่ หากเธอไม่รู้ เธอและลูกคงจะลำบาก
“วาที เฮ้อ ข้าพอจะรู้ ว่าเจ้าอยากให้ช่วยอะไร แต่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป หรือจะว่าไปแล้ว วิญญาณ หรือแม้แต่จะเรียกว่ากึ่งเทพอย่างข้า ก็ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรมากมายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
“ผมไม่ได้ขออะไรมากมายเลยนะครับลุง ผมอยากขอแค่ให้ลุงช่วยให้โสภิตมองเห็นผม ได้ยินผม ผมอยากพูดกับเมียผม แค่ 2-3 ประโยคเท่านั้นเอง นะครับลุง ช่วยผมนะครับ”
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร”
“แต่คนเราก็เห็นผีกันได้เยอะแยะนี่ครับ ผมเคยได้ยินเรื่องเล่ามามากมายว่า คนตายไปแล้วยังกลับมาเยี่ยมบ้าน หรือมาเข้าฝันคนที่ยังอยู่ได้ เขาทำกันยังไง ลุงสอนผมหน่อย” วาทียังพยายามร้องขอความช่วยเหลือ
ตอนนั้นเอง คุณลุงเจ้าที่เอื้อมมือมาจับแขนวาทีไว้ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว วาทีรู้สึกเหมือนจะเหาะได้ เขาลอยขึ้น ลอยขึ้น สูงขึ้นไปจากลานจอดรถ มองลงมาเห็นหลังคาบ้าน ไกลออกไปทุกที สูงขึ้นทุกที เขาเห็นทั้งหมู่บ้านอยู่ในสายตาแล้วตอนนี้ แต่อะไรกันนั่น เส้นสายสีแปลกตา เขียว ฟ้า แดง เหลือง หรือจะว่าไปก็สารพัดสี พาดผ่านวกวนมากมายอยู่เต็มไปหมด รอบบ้านของเขา รอบหมู่บ้าน และแม้เมื่อเขาหันมามองรอบตัว หรือคงต้องเรียกว่ารอบวิญญาณแล้วซินะ เส้นสายหลายสีเหล่านี้ก็ยังหมุนวนอยู่รอบๆ วิญญาณของเขา
“มองให้ดี” ลุงเจ้าที่บอก “นี่แหละ ที่ข้าบอกว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป และข้า หรือวิญญาณไหนๆ ก็ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรอีกแล้ว”
ลุงเจ้าที่เล่าว่า เมื่อครั้งกระโน้น ก่อนรัตนโกสินทร์ ที่ตรงนี้ยังเป็นเพียงผืนนากว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ายามกลางคืนมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ และแสงดาวพราวพร่าง วิญญาณเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่กระจัดกระจายอยู่บนโลก ผูกพันกับสิ่งต่างๆ ด้วยกรรมที่เป็นเหมือนเส้นด้ายร้อยรัดกันเอาไว้ และเมื่อใดที่คลื่นพลังงานมีกำลังกล้าพอ โดยเฉพาะในยามที่เดือนมืดมิด วิญญาณจะเปล่งรังสีจาก “ความไร้ร่าง” กลายเป็น “ร่าง” ที่ผู้คนที่มีคลื่นกระแสจิตตรงกันสามารถมองเห็น
1
“บางคนที่กระแสจิตใกล้เคียงกัน ก็มองเห็นเป็นเงาสลัว แต่สำหรับคนที่กระแสจิตมีคลื่นตรงกันจริงๆ ก็จะมองเห็นได้ชัดเจน อย่างที่พวกเจ้าเรียกว่าเห็นผี” ลุงเจ้าที่เล่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป นับตั้งแต่มีสิ่งที่เรียกว่า “ไฟฟ้า” เข้ามา “กำลัง” ของวิญญาณก็ดูเหมือนจะถดถอย “คลื่น” จากพลังวิทยาศาสตร์เข้ามาแทรกการดำรงอยู่ของคลื่นวิญญาณ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่พลังคลื่นวิญญาณก็จางลง
“ไฟฟ้า วิทยุ และมาจนถึงสมัยใหม่มากขึ้น คลื่นโทรทัศน์ โทรศัพท์ ดาวเทียม สารพัดคลื่นในอากาศ ก็เป็นเหมือนที่เจ้าเห็นตอนนี้ หลากหลายคลื่นหมุนวนอยู่เต็มไปหมด บดบังคลื่นวิญญาณไปแล้ว ผู้คนมองเห็นวิญญาณได้ยากขึ้นทุกที เพราะคลื่นวิทยาศาสตร์ต่างๆ เข้ามาเบียดบังคลื่นวิญญาณ กระแสคลื่นของพวกเราจางลงเรื่อยๆ เจ้าดูซิวาที รอบๆ บ้านของเจ้า มีคลื่นหลายอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าถึงโสภิตได้ยังไง วิญญาณในโลกยุคใหม่มีแต่ต้องถอยไปเรื่อยๆ เพราะสู้คลื่นวิทยาศาตร์ไม่ได้” ลุงเจ้าที่อรรถาธิบาย
วาทีจ้องมองลงมาที่บ้านของเขาอย่างงุนงง และพลันได้เข้าใจถึงแสงสีต่างๆ นั่นไง ลำแสงใหญ่เป็นเส้นตรงที่เห็นนั้นคือคลื่นที่มาจากพลังงานไฟฟ้า ส่วนลำแสงที่เล็กกว่า แต่ดูซอกซอนนั่น เป็นคลื่นที่มาจากเสาโทรศัพท์ ตรงมาถึงเครื่องโทรศัพท์มือถืออันเล็กในกระเป๋าถือของโสภิต ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคลื่นดาวเทียมที่ต่อตรงไปถึงโทรทัศน์ คลื่นไว-ไฟที่หมุนวนอยู่รอบบ้าน ตอนนั้นเอง ที่เขาก้มลงมอง “ร่าง” ของตัวเอง มันพร่าเลือน และเหมือนจะถูกคลื่นต่างๆ โจมตีจนร่างของเขาเป็นเหมือนภาพจากโทรทัศน์ที่ถูกคลื่นรบกวน
“แต่..ลุง..ผม..ผมมีเรื่องต้องบอกโสภิต” วาทีร่ำร้อง ตอนนั้นเองที่เหมือนมีพลังงานดึงดูดวิญญาณของเขาพุ่งลิ่วลงมาสู่เบื้องล่าง เข้าไปในห้องนอน เขายืนอยู่ใกล้โสภิต มองเห็นหยาดน้ำตาของเธอพรั่งพรู นี่เขาจะทำอย่างไรได้ เธอจะรู้หรือยังว่าเงินในบัญชีแทบไม่เหลือสักเท่าไหร่แล้ว เขาเอาไปลงทุนในกองทุนทองคำล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว
วาทียังคงตามโสภิตไปทุกแห่งหน เธอไม่ได้ไปไหนมากนัก มีเพียงวัด และบ้าน ดูเธอเหนื่อยล้า โชคดีที่เพื่อนๆ ที่ทำงานของเขามาช่วยกันจัดการงานศพ แต่ถึงกระนั้น โสภิตก็แทบไม่ได้หลับได้นอน แม้จะตายไปแล้ว แต่เขารับรู้ได้ว่า ความตายไม่อาจลบเลือนความเจ็บปวด เขาเจ็บหัวใจทุกครั้งที่เห็นภรรยานอนร้องไห้ โธ่เอ๋ย แล้วลูกของเขา ลูกในท้องของเธอ จะเติบโตมาได้ยังไง ในเมื่อคนเป็นแม่มีแต่ความระทมทุกข์
แม่ยายของเขาตัดสินใจหอบข้าวของมานอนเป็นเพื่อนลูกสาวหลังการสวดคืนที่ 5 ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย วาทีใจหาย เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า พรุ่งนี้ ร่างกายที่เคยเป็นของเขาจะต้องถูกเผาแล้ว แต่จะอะไรกันนักล่ะ ถึงตอนนี้ เขาพอจะปลงได้ เขาตายแล้ว จะว่าไป พอถึงคืนที่ 5 วาทีก็แทบไม่อาลัยอาวรณ์กับชีวิต เขาไม่ได้ยึดติดอะไรมากนัก เสียดายเพียงแต่ไม่ได้มีโอกาสได้อยู่กับลูกที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่ไม่ว่าอย่างไร ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือเรื่องเงิน เงินที่เขาแอบเอาไปลงทุนไว้
คืนก่อนเผานั่นเอง ที่แม่ยายเขาเอ่ยปากถามโสภิตเรื่องทรัพย์สินที่เหลือของเขา โสภิตบอกแม่ของเธอว่า ไม่ต้องเป็นห่วง
“วาทีมีเงินเก็บประมาณ 6 ล้านกว่าบาทค่ะแม่ เขาให้หนูดูบัญชีก่อนจะเสียไม่นาน” โสภิตบอก
“งั้นเดี๋ยวเผาเสร็จ หนูก็ต้องไปธนาคาร ทำเรื่องเอกสารให้เรียบร้อย โอนเงินมาเป็นชื่อหนู จะได้หมดปัญหา ก็ยังดี ที่พ่อวาทีไม่มีญาติที่ไหนเหลืออยู่ เรื่องเงินเรื่องทองจะได้ง่ายหน่อย” แม่ยายของเขาพูด
“คงอย่างนั้นค่ะแม่ หลังงานเผา หนูจะไปธนาคาร” โสภิตตอบมารดาด้วยเสียงเศร้าๆ
วันรุ่งขึ้น วาทีไปร่วมงานเผาศพตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันก็น่าตลกที่เขายืนอยู่ข้างๆ เมรุโดยไม่มีใครเห็น เอาเถอะ ตายก็ตายไปแล้ว จะอะไรกันนักหนาเล่า และหลังงานเผานั่นเอง ที่เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น เมื่อโสภิตไปที่ธนาคาร แล้วพบว่า วาทีถอนเงิน 6 ล้านบาทออกไปก่อนตายได้ไม่นานนัก
โสภิตแทบเป็นลมอีกครั้ง หลังจากที่เป็นลมรอบแรกตอนที่รู้ข่าวอุบัติเหตุของสามี การได้รู้ว่าเงิน 6 ล้านบาทถูกถอนออกไปจากบัญชีของวาทีแล้วทำให้เธอแทบทรงตัวไม่อยู่ ลายเซ็นในใบถอนเงินที่เจ้าหน้าที่ธนาคารนำมาแสดงให้ดูนั้นชัดเจนว่าเป็นลายมือของวาทีแน่นอนอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เขาเอาเงินไปไหน เงินตั้ง 6 ล้านบาทหายไปไหน แล้วเธอกับลูกจะอยู่ยังไงต่อไปกับเงินเหลือติดบัญชีไม่กี่หมื่นบาท กับเงินค่าตอบแทนที่บริษัทที่ทำงานของวาทีให้มาไม่มากนัก
โสภิตกลับบ้านอย่างอ่อนล้ามากกว่าทุกวัน ความสับสนถาโถมเข้ามาจนทำอะไรไม่ถูก มารดาของเธอบ่นว่าวาทีอย่างหนัก เธอตั้งข้อสงสัยว่า เขาอาจจะมีเมียน้อย หรือเอาเงินไปทำอะไรที่ไม่ถูกกฎหมาย เช่น เล่นการพนัน แต่โสภิตไม่อยากจะฟัง เธอไม่อยากเชื่อว่าวาทีจะทำอะไรอย่างนั้นได้ เขาเพิ่งพูดเมื่อไม่นานมานี้เองว่า จะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ให้ลูก แต่เพียงแค่เขาตายไปไม่กี่วัน เธอกลับพบว่าเงินหายไปหมด
วาทีตรงรี่เข้าไปหาลุงเจ้าที่ ปรึกษาหารือว่าจะทำยังไงได้บ้าง
ลุงเจ้าที่ให้คำแนะนำว่า ทางที่ดี ต้องพยายามชักจูงให้โสภิตออกนอกเมือง ไปหาที่สงบเงียบ ที่ๆ ไม่มี “คลื่นรบกวน” เพื่อทำให้ “คลื่นวิญญาณ” ของวาทีเข้มแข็งชัดเจนขึ้น
“เป็นทางเดียวที่พอจะทำให้เจ้าติดต่อกับโสภิตได้” ลุงเจ้าที่บอก
“แล้วผมจะทำได้ยังไง พูดกับเธอผมยังทำไม่ได้ ผมจะชักชวนโสภิตให้ออกไปนอกเมืองได้ยังไง”
“เอาเถอะ ข้าจะช่วย” ลุงเจ้าที่บอก
แม้ลุงเจ้าที่จะไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรมากอย่างที่ว่า แต่ก็พอมีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ในการออกแรงช่วยดลใจให้โสภิตนึกถึงวัดป่าที่สุพรรณบุรี ที่ๆ เธอเคยไปนั่งวิปัสนาเมื่อนานมาแล้ว
ด้วยจิตใจที่สับสน บวกกับเบื่อผู้เป็นมารดาที่เอาแต่ “ใส่ไฟ” สามีผู้วายชนม์อย่างหนัก ทำให้โสภิตเริ่มคิดถึงที่สงบๆ ประกอบกับแรงดลใจจากลุงเจ้าที่ เธอนึกอยากหลบออกจากเมืองไปเข้าวัดสักวัน
โสภิตเตรียมข้าวของ บอกมารดาว่าขอไปทำใจให้สงบที่วัดคนเดียว แม้แม่ยายของวาทีจะค้านแล้วค้านอีก แต่โสภิตก็ยืนกรานที่จะขอไปวัด เมื่อขัดไม่ได้ แม่ยายขี้บ่นก็ต้องยอมตามใจลูกสาว ปล่อยให้โสภิตไปทำใจสงบๆ ก่อนกลับมาคิดกันต่อว่าเงิน 6 ล้านบาทของวาทีหายไปไหน
วาทีนั่งรถตามเธอไปจนถึงวัด เขาออกจะดีใจที่เห็นว่า ตลอดทางที่โสภิตขับรถห่างจากเมืองออกมา ยิ่งไกล กระแสคลื่นทันสมัยต่างๆ ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
ตอนที่โสภิตเข้าไปกราบหลวงพ่อ แจ้งความประสงค์ว่าอยากมานั่งสมาธิสักคืนหนึ่ง หลวงพ่อหันมาทางวาที หรือหลวงพ่อจะ “เห็น” เขา
วาทีสำรวมจิตใจจ้องมองตอบ เขาเห็นคลื่นกระแสจิตของหลวงพ่อชัดเจน เกือบจะสัมผัสได้กับคลื่นวิญญาณของเขาแล้ว สองคลื่นเหลื่อมกันเล็กน้อย เหมือนหลวงพ่อจะพอสัมผัสได้ว่า วาทีตามภรรยามาด้วย หลวงพ่อยิ้มน้อยๆ ให้เขา พลางให้ศีลให้พรโสภิตยาวเหยียด วาทีรู้ว่า หลวงพ่อเผื่อแผ่พรมาถึงเขาด้วย กระแสจิตนั้นแรงนัก เขาก้มกราบหลวงพ่อ ก่อนจะตามภรรยาไปที่พักเล็กๆ ด้านหลังที่ทางวัดสงวนไว้ให้สตรีที่มาปฏิบัติธรรม
รอให้ถึงกลางคืนก่อนเถอะ คืนนี้เดือนมืด วาทีฟังคำแนะนำจากลุงเจ้าที่มาพอสมควรแล้ว เขาเชื่อว่า ถ้าเป็นที่วัดป่าแห่งนี้ เขาพอจะมีโอกาสได้ติดต่อกับโสภิตสักหน ขอเพียงหนเดียว หนเดียวก็พอแล้ว ขอแค่สักนาทีเดียวที่จะบอกให้เธอรู้ ว่าเงินอยู่ที่ไหน เงินที่เขาเตรียมไว้รับขวัญลูกที่เขายังไม่เคยได้เห็นหน้า
เมื่อสนธยากรายเข้ามา วาทีสำรวมจิตใจ สอดส่องดูกระแสคลื่นต่างๆ เขาเห็นคลื่นไฟฟ้าเป็นพลังงานสายเล็กๆ มาจากหลอดไฟดวงจ้อยในสถานปฏิบัติธรรม นอกนั้นก็มีคลื่นยึกยักที่ส่งมาถึงโทรศัพท์มือถือของโสภิต เพียงแค่ 2 คลื่นนี้เท่านั้นที่ “ขวาง” เธอไว้จากเขา ส่วนพวกคลื่นวิทยุ คลื่นดาวเทียม แม้จะมีผ่านมาอยู่บ้าง แต่เลือนลางเต็มทน
สองทุ่ม หากเป็นในเมือง ก็คงยังเป็นหัวค่ำ แต่ในวัดป่าแห่งนี้ ถือว่าดึกมากแล้ว โสภิตกำลังเตรียมตัวจะนอน เธอคิดฟุ้งซ่านด้วยเรื่องมากมาย ไหนจะสามีที่เพิ่งเสียชีวิต ไหนจะลูกที่กำลังจะเกิด แถมเงินยังมาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อคิดแล้ว น้ำตาก็ซึมออกมาอีกครั้ง ทำเอาวาทีหัวใจสลาย
เขาพยายามรวบรวมกำลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในยามเดือนมืดอย่างนี้ เขามองไปที่แสงดาวที่ไกลห่าง และรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่มากขึ้น วาทีทำอย่างที่ลุงเจ้าที่สอนเอาไว้ เขาใช้พลังที่มี ส่งกระแสคลื่นไปที่หลอดไฟดวงนั้น เพ่งสติตรงไปอย่างแน่วแน่ เพียงแค่ 2-3 นาที ก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ ก่อนที่หลอดไฟจะดับลง
หายไปแล้ว 1 คลื่น
โสภิตสะดุ้งเฮือกตอนที่ไฟดับ เธอเผลอตัวสบถเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือ
“ยังดี มีมือถือให้อุ่นใจ” เธอพูดกับตัวเอง ก่อนจะเปิดหน้าจอ แล้วเลื่อนลงมาอ่านเฟสบุ๊คเงียบๆ
วาทีอดรำคาญไม่ได้ ก่อนหน้าที่เธอจะหยิบโทรศัพท์ กระแสคลื่นยึกยักนี่ก็ส่งมาถึงตัวเครื่องอยู่แล้ว แต่พอเธอเปิดดูเฟสบุ๊ค คลื่นยึกยึกยิ่งไหลเข้ามารอบตัวเธอมากขึ้น วาทีต้องรวบรวมพละกำลังอีกครั้งหนึ่ง และใช้พลังค่อนข้างมากในการพุ่งเป้าโจมตีไปที่โทรศัพท์
กระแสจิตของเขาแน่วแน่มั่นคง ด้วยความหวังในภารกิจที่จะบอกเรื่องเงินกับภรรยา ความตั้งใจอันแรงกล้าของวิญญาณใหม่ คลื่นแห่งจิตตรงไปสู่โทรศัพท์ เพียงไม่นาน มีเสียงดับ พึ่บ แล้วหน้าจอก็ดับลง
“โธ่เอ้ย โทรศัพท์ก็ดับด้วยเหรอ” โสภิตบ่น เธอชักหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก พาลน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง อะไรๆ ในชีวิตดูจะหม่นหมองไปเสียทุกเรื่อง นี่ไฟก็ดับ โทรศัพท์ก็พัง แล้วจะมีอะไรอีกล่ะเนี่ย
โสภิตหวนคิดไปถึงเรื่องที่มารดาพูด เงินที่หายไป หรือว่า วาทีจะมีเมียน้อยอย่างที่มารดาตั้งข้อสังเกตุ ไม่งั้น เงินตั้ง 6 ล้านบาทจะหายไปไหน สมองของเธอเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนี้
วาทีเสียพลังงานไปมาก ในการดับไฟ และพังโทรศัพท์ วิญญาณของเขาอ่อนล้าถึงขีดสุดแล้ว แต่ยังเหลือพลังเฮือกสุดท้าย ความตั้งใจแรงกล้าที่เป็นกำลังขับเคลื่อนคลื่นวิญญาณอันอ่อนแอของเขา ขอเพียงนาทีเดียวเท่านั้น ขอรวบรวมใจนาทีเดียวเท่านั้น คลื่นวิญญาณของวาทีเข้มขึ้นทีละน้อย..ทีละน้อย เหมือนอะตอมในอากาศธาตุมารวมตัวกันเป็นแสงเลือนลางคล้ายแสงริบหรี่ของหิ่งห้อย
เขามองเห็นคลื่นวิญญาณของเขา กระแสคลื่นเข้าใกล้กับคลื่นชีวิตของโสภิต เกือบจะแตะกันแล้ว ความปิติแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจของวาที อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น ขอเพียงได้พูดคุยกัน 2-3 ประโยค บอกแหล่งเงินที่เขาไปลงทุนไว้ แล้วเขาจะจากไปอย่างหมดห่วงหมดอาวรณ์ในโลกนี้
คลื่นวิญญาณของวาทีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะทับซ้อนกับคลื่นชีวิตของโสภิต วาทีพยายามเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยกำลังอันน้อยนิดที่เหลืออยู่
ทันใดนั้นเอง เขารับรู้ได้ถึงพลังงานคลื่นอันแปลกประหลาด คลื่นที่โกรธเกรี้ยวถาโถมเข้ามาทลายคลื่นวิญญาณของเขา
“ไอ้ผัวเฮงซวย” โสภิตตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด มีอย่างที่ไหน ปากบอกว่าจะเก็บเงิน 6 ล้านเอาไว้ให้ลูก แต่ก่อนตายไม่กี่วัน ไอ้ผัวหน้าโง่ดันถอนเงินไปซะแทบเกลี้ยง ไม่เหลือให้เธอกับลูกอย่างที่บอก
“ไอ้ผัวเฮงซวย..ไอ้ผัวเฮงซวย..ไอ้ผัวเฮงซวย...ย....ย..” โสภิตตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง คลื่นอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของเธอมีพลังงานมากกว่าคลื่นไฟฟ้ากับคลื่นโทรศัพท์รวมกัน มันกระแทกเข้าใส่คลื่นชีวิตอันมีพลังงานเพียงกระจ้อยร่อยของวาทีที่กำลังรวมตัวกันจนแตกซ่าน คลื่นวิญญาณของชายหนุ่มกระจัดกระจายฟุ้งออกไปเป็นกระแสคลื่นเล็กๆ ที่รวมตัวกันไม่ติด โอกาสสุดท้ายที่เขาเฝ้ารอถูกคำว่าไอ้ผัวเฮงซวยพัดไปกับสายลมดึก
เงิน 6 ล้านบาทล่องลอยหายไปในอากาศพร้อมๆ กับคลื่นวิญญาณของเขา
โฆษณา