เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นทางด้านการใช้เทคโนโลยี แต่ระบบวิจัยพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นเราอยู่ในระดับปานกลาง ตัวอย่างเช่น เราผ่าตัดสมอง ผ่าตัดหัวใจได้ดีมาก แต่เราผลิตเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไม่ได้ ผลิตอุปกรณ์ในการผ่าตัดหัวใจไม่ได้ เป็นต้น จึงทำให้คนไทยทั่วไปไม่ค่อยได้คาดหวังที่ประเทศไทยจะวิจัยและผลิตวัคซีนเอง ได้แต่คอยลุ้นให้ประเทศชั้นนำต่างๆเช่น สหรัฐฯ จีน เยอรมัน อังกฤษ ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีน
แต่ความจริงประการหนึ่งของการที่ประเทศไทยเรารอซื้อวัคซีนจากประเทศที่คิดค้นวัคซีนสำเร็จนั้น อาจจะเป็นปัญหาใหญ่มาก ทำให้เราไม่มีวัคซีนฉีดอีกนานนับปีหลังจากมีการคิดค้นวัคซีนสำเร็จแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ประเทศที่มีโอกาสผลิตวัคซีนสำเร็จ 2 ประเทศแรก ล้วนเป็นประเทศที่มีประชากรมาก ได้แก่ จีน (1,400 ล้านคน) สหรัฐอเมริกา (330 ล้านคน) ซึ่งตามที่มีการคาดการณ์ไว้ วัคซีนที่ผลิตได้ในช่วงแรกจะมีปริมาณอยู่ระดับ 10-100 ล้านโดส ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะฉีดให้กับทุกคนในประเทศของตนเอง จะต้องเร่งผลิตล็อตที่ 2 ต่อซึ่งจะใช้เวลาอีกหลายเดือน เพื่อให้เพียงพอกับการฉีดประชาชนภายในประเทศตนเองก่อน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มจำหน่ายให้กับประเทศต่างๆทั่วโลก
นั่นหมายความว่า ถ้าประเทศแรกในโลกคิดวัคซีนสำเร็จในกลางปี 2564 กว่าจะมีวัคซีนมาขายให้พวกเราก็คงเป็นต้นปี 2565 และก็จะไม่สามารถซื้อวัคซีนทีเดียว 70 ล้านโดสได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเงินนะครับ แต่เป็นเรื่องที่ประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจนั้นย่อมจะแบ่งเฉลี่ยไปให้หลายๆประเทศ ประเทศละเล็กละน้อย (1-10 ล้านโดส) เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าไทยได้วัคซีนมาครั้งแรก 2 ล้านโดส ก็จะเกิดปัญหาถกเถียงกันว่าจะฉีดให้ใครก่อน ที่สำคัญเมื่อฉีดแล้ว ก็จะยังไม่มีภูมิคุ้มกันหมู่ ยังต้องคงมาตรการเข้มข้นเหมือนเดิม
ไทยเราจึงไม่มีทางเลือกครับ เราต้องทำทุกทางไปพร้อมๆกันคือ
1) เตรียมงบประมาณ เตรียมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่คาดว่าจะผลิตวัคซีนสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มดำเนินการบ้างแล้ว
2) ประสานความร่วมมือกับประเทศดังกล่าว เพื่อขอเข้าร่วมการวิจัย โดยใช้อาสาสมัครคนไทยเข้าร่วมด้วย เพื่อที่เมื่องานวิจัยสำเร็จไทยเราจะได้มีโอกาสเป็นลำดับต้นๆในการได้รับวัคซีน
และข้อที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพยายามทุ่มเทวิจัยและผลิตวัคซีนเองให้ได้ และก็พอจะมีข่าวดีและความหวังอยู่บ้างดังนี้