25 พ.ค. 2020 เวลา 05:32 • ท่องเที่ยว
Road Trip Norway 2019 (13) … Notodden : Heddal Stave Church โบสถ์ไม้สุดคลาสสิกของนอร์เวย์
นอร์เวย์ เป็นประเทศที่สวยงาม มีชื่อเสียงในเรื่องของฟยอร์ด ภูเขา และดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน .. นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่า มีโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย นั่นคือ Heddal stave church ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Heddal เขตการปกครองโนตอดเดน (Notodden) มณฑล Telemark ประเทศนอร์เวย์
Heddal stave church สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 .. เป็นโบสถ์ไม้สามชั้นที่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่หลายครั้งในหลายศตวรรษที่ผ่านมา การซ่อมแซมครั้งสุดท้าย ปรากฏเค้าโครงส่วนที่เหลือให้เห็นในส่วนของด้านในของโบสถ์ในปัจจุบัน และปรากฏอิทธิพลของศิลปะสมัยที่เรียกว่า the Lutheran Reformation in 1536-1537
ในสมัยก่อน การสร้างโบสถ์ไม้เป็นที่นิยมกันมากในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป แต่ปรากฏว่า นอร์เวย์เป็นประเทศเดียวที่อนุรักษ์โบสถ์แบบนี้ไว้ได้มากที่สุดจนถึงยุคนี้ มีแค่ 2 โบสถ์ไม้นอกดินแดนของนอร์เวย์เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ คือ ที่ Hedared, Sweden และ Karpacz, Poland ซึ่งโบสถ์ที่โปแลนด์ เดิมอยู่ในนอร์เวย์ แต่ถูกย้ายไปเมื่อปี 1842
Stave churches ตั้งชื่อตามคำว่า stafr ภาษา Norse .. ตอนนี้คือคำว่า Stav ในภาษานอร์วีเจี้ยน ซึ่งคำว่า stafr เป็นชื่อเรียกเสาไม้สนทั้งต้นที่นำมารับน้ำหนักของอาคาร
ตำนานการสร้างโบสถ์แห่งนี้ มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า ใช้เวลาสร้างเพียงแค่ 3 วัน
เรื่องราวของตำนานเริ่มจากชาวนา 5 คน (Raud Rygi, Stebbe Straand, Kjeik Sem, Grut Grene and Vrang Stivi) ในเขต Heddal ต้องการจะสร้างโบสถ์ในชุมชน .. หนึ่งในชาวนาชื่อ Raud ได้ว่าจ้างชายแปลกหน้าคนหนึ่งให้มาสร้างโบสถ์
ชายแปลกหน้าคนนั้น ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ 3 ข้อ และอย่างน้อย 1 ข้อจะต้องทำให้ได้สำเร็จก่อนที่เขาจะสร้างโบสถ์เสร็จ … นำดวงสุริยันและจันทราลงมาจากท้องฟ้า .. รีดเลือดออกไปจากกายของตนทั้งหมด … ข้อสุดท้าย คือ ทายชือของชายแปลกหน้า
หากทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ชายแปลกหน้าคนนั้นจะฆ่าชาวนา
นาย Raud คิดว่าเรื่องนี้มันหมูมาก เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำข้อที่สามให้สำเร็จ .. จึงตกลงรับเงื่อนไขของชายแปลกหน้า
หลังจากที่ตกปากรับคำกันแล้ว การก่อสร้างก็เริ่มขึ้น .. ท่อนซุงและหินก้อนใหญ่ๆถูกนำมาในวันแรกที่เริ่มก่อสร้าง … ในวันที่สอง โครงสร้างของโบสถ์ก็เสร็จเรียบร้อย .. ในวันที่สาม นาย Raud ซึ่งเกิดอาการวิตกกังวลอยางหนัก ได้ออกไปเดินรอบๆแปลงนาใน Heddal และพยายามที่จะนึกชื่อของชายแปลกหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกฆ่า
เมื่อเขาเดินไปใกล้ก้อนหินที่ Svintruberget (เนินเขาหินทางตะวันออกเฉียงใต้ของที่ตั้งของโบสถ์) เขาได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะมากๆ
“Hush-hush little child .. เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย
tomorrow your father Finn will bring you the moon and the sun…
พรุ่งนี้ Finn พ่อของเจ้าจะนำพรอาทิตย์และพระจันทร์มาให้
or he will bring you a Christian heart .. หรือไม่เขาก็จะนำหัวใจชาวคริสต์มาให้
so pretty toys for my little child to play a part .. เพื่อเป็นของเล่นที่สวยงามให้กับลูกน้อยของข้า
เมื่อได้ยินดังนั้น นาย Red ก็รู้ได้ทันทีว่า ชายแปลกหน้านั้นความจริงคือ troll ตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่เนินเขาหินนั่นเอง และชื่อว่า Finn
เขาเดินกลับไปที่โบสถ์ใน Heddal และพบว่าโบสถ์สร้างเสร็จแล้ว เป็นสิ่งก่องสร้างที่มี 5 ประตู และมีหลังคาเล็กๆ 64 อัน และไม่ได้ใช้ตะปูในการก่อสร้างเลย … ในขณะที่ Finn และนาย Red เดินเข้าไปในโบสถ์พร้อมๆกัน Red ได้เข้าไปโอบเสาต้นหนึ่ง ประหนึ่งว่ากำลังพยายามจะตั้งเสาให้ตรง และพูดขึ้นว่า “Finn .. เสาอันนี้มันตั้งไม่ตรง”
หลังจากได้ยินชาววนาเรียกชื่อของตน Finn ที่โกรธแค้นก็ชกเสาอันนั้น วิ่งขึ้นไปบนภูเขา แล้วก็โยนหิน 3 ก้อนมายังโบสถ์ แต่ไม่โดน … คนในท้องที่บอกว่า สาเหตุที่หินไม่โดนโบสถ์ เพราะมีเสียงระฆังพอดี และ Troll แพ้เสียงระฆัง
การก่อสร้าง
Heddal stave church เริ่มสร้างในต้นศตวรรษที่ 13 และเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ ในจำนวนโบสถ์ไม้ 28 แห่งของนอร์เวย์ในปัจจุบัน .. ตัวโบสถ์แบ่งเป็นสามตอน สร้างด้วยไม้ทั้งหมด ยกเว้นฐานที่เป็นหิน .. การสร้างใช้เทคนิคเดียวกับการสร้างเรือไม้ของชาวไวกิ้ง ด้วยการใช้ความชำนาญในการวัดละตัดสัดส่วนไม้ให้พอดี และต่อกันด้วยวิธีการเข้าลิ่ม แทนการใช้กาวหรือตะปู
Heddal stave church ร้างโดยใช้เสาไม้สนต้นใหญ่ 12 ต้นและต้นเล็กจำนวน 6 ต้น รวมถึงประตูไม้ และมีเฉลียงด้านนอกรอบๆโบสถ์
โบสถ์แห่งนี้ได้รับความเสียหายในหลายช่วงเวลา แต่ได้รับการซ่อมแซมบูรณะในปี 1849-51 และในช่วงนั้นเองที่ระฆังประจำโบสถ์ได้ถูกนำออกไป แล้วเอาไปวางไว้ด้านนอก เพื่อลดน้ำหนักไม่ให้โครงสร้างโบสถ์ที่เป็นไม้รับโหลดมากเกินไป … การบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้ง คือในช่วงปี 1950s.
โบสถ์แห่งนี้เปิดให้ประกอบกิจทางศาสนามาโดยตลอดตั้งแต่มีการสร้างมา
ประตูทางด้านตะวันตกของโบสถ์ : เป็นประตูที่ถูกใช้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเด็กมาทำพิธี Baptist รับศีลจุ่ม ด้วยความเชื่อที่ว่า หากไม่ทำพิธี สิ่งชั่วร้ายจะเข้ามาครอบงำได้ .. ดังนั้นประตูทางด้านนี้จะมีเครื่องรางป้องกันมากและอลังการที่สุด
ประตูที่เราผ่านเข้าไปทางทิศตะวันตก สลักเสลาเป็นรูปงูและรูปมังกร ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสกัดกั้นสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าไปในโบสถ์ …
ด้านบนของกรอบประตูด้านซ้าย สลักเป็นรูปสิงโตกำลังขย้ำสัตว์ชนิดหนึ่ง (สัญลักษณ์แทนความชั่วร้าย)ในจินตนาการ .. รูปสิงโต เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของชาวคริสต์ สิงโต คือ Lion of Judah
ด้านบนกรอบประตูด้านขวา แกะสลักเป็นรูปหมี 2 ตัวกำลังต่อสู่ติดพันกันอยู่ .. เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของการขัดขวางสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าไปในโบสถ์
ประตูทางด้านทิศเหนือ : ในสมัยยุคกลาง ผู้หญิงจะใช้ประตูด้านนี้
ประตูทิศใต้ : เป็นประตูที่ผู้ชายใช้ ในยุคกลาง
ประตูด้านตะวันออก : เป็นทางที่นักบวชเข้ามา
ไกด์บอกว่าประตูมีขนาดเล็กพอดีตัวคนๆเดียวเท่านั้น เพื่อให้คนผ่านเข้าไปได้ทีละคน และไม่ให้สิ่งชั่วร้ายที่อาจจะติดตามผู้คนมามีพื้นที่ลอดผ่านไปได้
.. ไกด์ยังบอกอีกว่า สมัยโบราณผู้ชายต้องดูแลเลี้ยงดูภรรยาอย่างดี เมื่อผ่านประตูโบสถ์สะโพกทั้งสองข้างของเธอจะต้องแตะขอบประตูทั้งสองด้านด้วย ถึงจะเรียกว่าดูแลดีพอ .. หญิงอย่างพวกเรา อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาจรฐาน เพราะยังมีพื้นที่เหลือเฟือตอนเดินผ่านประตูเข้าไป
ภายในโบสถ์ .. ตรงกลางด้านในสุด มีรูปเคารพทางศาสนาคริสต์ และแท่นบูชา .. ไม้แกะสลักด้านหน้า ขึ้นมาใหม่เป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่ ของเก่าแก่ดั้งเดิมถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์
… ส่วนประกอบอื่นที่เห็นในภาพ ก็ทำขึ้นมาใหม่
.. เหนือด้านหน้าของส่วนนี่มีไม้แกะสลักรูปพระคริสต์
.. มีสิ่งของเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 คือ Bishop’s Chair’
.. มีภาพวาดบนผนังที่เรียกว่า “rose paintings” จากปี 1668
.. นอกจากนี้ยังมีไม้แกะสลักที่สวยงามที่เล่าเรื่องราวคนในสมัยก่อน และเรื่องราวทางศาสนา
ในช่วงฤดูหนาว อากาศที่เย็นยะเยือก อาจจะเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ จึงมีการก่อสร้างโบสถ์ฤดูหนาวขึ้น … ส่วนในช่วงที่อากาศอบอุ่น ที่นี่เป็นสถานที่ให้บริการเครื่องดื่มชนิดต่างๆ หรับผู้มาเยือน
โฆษณา