27 พ.ค. 2020 เวลา 08:58 • ประวัติศาสตร์
"Siamese Talk" วีรกรรมความแสบทางการฑูตของคนไทยที่ทำเอาอังกฤษแค้นสุดๆ!!!
ประเทศไทยหรือที่ในอดีตเรียกกันว่า "สยาม" หากเปรียบเทียบความสามารถทางการทหหารกับประเทศมหาอำนาจในยุโรปแล้ว เราถือเป็นประเทศที่มีกองกำลังไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย ทั้งกำลังพลที่น้อยกว่า อาวุทธยุทโธปกรณ์ด้อยกว่า ยุทธวิธีการรบสมัยใหม่ที่ยังห่างชั้น เทคโนโลยีที่ยังมีไม่ถึง คือถ้าว่ากันตรงๆ ศักยภาพทางการทหารของเราล้วนเป็นรองอย่างไม่ต้องสงสัย
2
แต่เมื่อถามว่าประเทศใดที่ฝรั่งยึดเอาเป็นอาณานิคมได้ยากที่สุดในเอเชีย คำตอบที่ชาติมหาอำนาจต่างยกให้กลับเป็น "สยาม"
1
ฟังดูแล้วอาจแปลกๆ ว่าสยามประเทศที่มีขนาดกำลังทหารเล็กๆ เนี่ยนะ จะสามารถต่อกรกับประเทศใหญ่ๆ ได้ ขนาดจีน ญี่ปุ่น ที่มีกองทัพยิ่งใหญ่กว่าบ้านเรา ยังไม่สามารถต้านทานเหล่าประเทศมหาอำนาจไว้ได้เลย
แต่หากลองพิจารณดีๆ แล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายประเทศในเอเชียล้วนเสร็จฝรั่งเกือบทั้งทวีปอย่าง จีน ญี่ปุ่น อีนเดีย ฮ่องกง มาเก๊า พม่า เวียดนาม มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ ติมอร์-เลสเต และอีกสารพัด คือไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็กต่างอยู่ในน้ำมือของเจ้าอาณานิคมหรือไม่ก็เคยแพ้สงครามมาแล้วทั้งสิ้น
4
แต่กับประเทศไทยไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ว่าอังกฤษหรือฝรั่งเศสจะเอากลยุทธ์อะไรที่เคยทำสำเร็จกับจีนที่มีทหารเป็นล้านๆ คน หรือวิธีการใดก็ตาม พวกเขาก็เอาไทยไม่ลงสักที
2
สาเหตุที่เป็นแบบนี้นะครับ นั่นเป็นเพราะการฑูตของไทยมีความเหนือชั้นมากๆ เรียกได้ว่าเป็นการฑูตชนิดเหลี่ยมจัดสุดๆ จนบางครั้งฝรั่งถึงกับเรียกว่าปลิ้นปล้อนในแบบไม่เคยเจอมาก่อนก็มี
3
อย่างในสมัยล่าอาณานิคมที่เพื่อนบ้านเราถูกแบ่งเค้กระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสกันอย่างเพลิดเพลิน แต่สยามกลับเป็นประเทศเดียวตรงกลางที่รอดออกมากได้
เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จไปถ่ายรูปคู่กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งจักรวรรดิรัสเซีย แล้วตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลกว่า "พระเจ้าแห่งสยามทรงเป็นมิตรกับพระเจ้าซาร์"
2
พอข่าวออกไปแบบนี้ปุ๊ป แน่นอนละครับว่าอังกฤษกับฝรั่งเศสก็ไม่กล้ามาหือกับสยามด้วย เพราะเหมือนว่าเรามีแบ็คเป็นจักรวรรดิรัสเซียคอยหนุนหลังอยู่
เห็นไหมครับว่าเพียงแค่รูปถ่ายใบเดียวก็ทำให้เรารอดจากเงื้อมมือฝรั่งมาได้ ในขณะที่หลายๆ ประเทศต้องดิ้นรนสูญเสียทหารและตกเป็นเมืองขึ้นมานับไม่ถ้วน
หรือครั้งหนึ่ง ในหนังสือพิมพ์ Le Matin ฉบับ 18 June 1907 ยังเคยตีพิมพ์ถึงสยามมาแล้วว่า "ฝรั่งเศสแพ้เกมส์การเมืองสยาม" เพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฮุบประเทศสยามได้สักที
1
ครั้งหนึ่ง ประเทศพม่าเพื่อนบ้านเรา เคยส่งสาล์นถึงควีนวิคตอเรียอังกฤษโดยใช้คำว่า "พระน้องนางเรา" ซึ่งทำเอาราชสำนักอังกฤษขำปนโมโหว่าควีนอังกฤษไปเป็นน้องของพระเจ้ามินดงตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้ราชสำนักพม่ากลายเป็นตัวตลกของอังกฤษไปเลย
2
แต่พอถึงตาสยามเราบ้าง เราใช้คำว่า "พระนางเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งทวีปบริเตนและไอร์แลนด์ ผู้เป็นสหายของเรา" ซึ่งการใช้คำสรรพนามแบบนี้นะครับ ถือเป็นการแสดงความศิวิไลซ์และให้เกียรติราชสำนักอังกฤษมากๆ ดังนั้นสยามจึงได้รับการยอมรับจากราชสำนักในยุโรปมาอย่างดีตลอด
9
แต่อีกเหตุการณ์สำคัญที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นความเหลี่ยมหรือความหัวหมอของคนไทยก็ไม่ทราบ เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม ญุี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
5
ขณะนั้นจอมพลป. เดินทางไปราชการในต่างจังหวัด โดยที่ยังไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ไทยทั้งทหาร ตำรวจ กลุ่มรด. ร่วมกันสกัดกองทัพญี่ปุ่นที่กำลังขึ้นบกมาจากริมฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร และบางปู
3
ก่อนที่ในเวลาอีกไม่นานจะมีประกาศรัฐบาล โดยกรมโฆษณาการออกมาประกาศให้หยุดยิงเพื่อเข้าสู่การเจรจา
1
สาเหตุที่ต้องเจรจาไม่ต้องคาดเดาก็พอจะรู้ได้นะครับ เพราะหากปล่อยให้มีการสู่รบต่อไป ยังไงก็ไม่คุ้มกับไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงตัดสินใจยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านไทยไปดีกว่า
แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็เท่ากับว่าประเทศไทยกำลังสนับสนุนฝ่ายอักษะ
ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงไม่รอช้า หลังจากไทยให้ญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศได้ 30 วัน กองทัพสัมพันธมิตรก็พาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่ไทยกันอย่างเมามัน จนผ่านไป 18 วัน ไทยทนลูกระเบิดไม่ไหว เลยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอังกฤษและอเมริกาทันที
2
สุดท้ายตอนจบของสงคราม ฝ่ายอักษะที่เราเข้าไปอยู่ด้วยกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ญี่ปุ่นถูกบอมบ์ระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิและถูกสหรัฐเข้าแทรกแซง เยอรมันโดนแบ่งเค้กเป็นสองประเทศ ส่วนไทยก็เช่นเดียวกันเราอยู่ในฝ่ายผู้แพ้สงครามและอังกฤษก็เตรียมเช็คบิลไทย
4
แต่เรื่องทั้งหมดกลับตาลปัตรเพราะอยู่ๆ ไทยก็ประกาศว่า การประกาศสงครามเมื่อคราวที่แล้วถือเป็นโมฆะ!!
3
โดยบอกว่า "ที่ไทยประกาศสงครามนั้น จริงๆเราไม่ได้เต็มใจ แต่ยอมทำเพราะสถานการณ์จากญี่ปุ่นบีบบังคับ และที่ผ่านมาไทยต่อต้านญี่ปุ่นมาโดยตลอด ดังนั้นคำประกาศสงครามจึงเป็นโมฆะ"
2
การประกาศแบบนี้ทำเอาฝรั่งไปกันไม่เป็นเลย เพราะประเทศอื่นๆ ต่างเสร็จฝ่ายสัมพันธมิตรเช็คบิลกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่พอมาถึงตาไทยบ้างกลับโดนเล่ย์เหลี่ยมทางการฑูต โดยเอาเรื่องการกดดันถูกบีบบังคับและการก่อตั้งขบวนการเสรีไทยมาอ้างแทน ซึ่งมันก็มีน้ำหนักให้เชื่อได้จริงๆซะด้วย
2
โดยรายละเอียดที่ไทยยกมาให้สัมพันธมิตรดูว่าเราไม่ได้อยากอยู่ฝ่ายอักษะ เช่น การประกาศสงครามของรัฐบาลในตอนเที่ยงของวันที่ 25 มกราคม 2485 ให้ถือเป็นโมฆะ
1
เนื่องจากการประกาศสงครามจะต้องกระทำภายใต้พระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 หรือกระทำโดยการลงนามผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ครบ 3 คน ถึงจะสมบูรณ์ได้
1
แต่ในขณะนั้นมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่มาเซ็นด้วย นั่นคือนายปรีดี พนมยงค์ ดังนั้นก็เท่ากับว่าคำประกาศสงครามของไทยถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น หายกันไป
6
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีขบวนการเสรีไทยที่นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านญี่ปุ่นกันอย่างลับๆ ว่าเราไม่เอาฝ่ายอักษะ ตรงจุดนี้ก็เอามาอ้างได้
3
และที่สำคัญ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ ไม่ได้ยื่นคำประกาศสงครามให้ประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นก็แสดงว่าที่ผ่านมาไทยไม่ได้ประกาศสงครามซะหน่อย ถือว่าเจ๊ากันไป
5
และทั้งหมดทั้งมวลนี้นะครับ จึงสรุปได้ว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม และรอดจากจากเงื้อมมือสัมพันธมิตรออกมาได้ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่กำลังเตรียมเช็คบิลไทย
2
และด้วยการเจรจาทางการฑูตของคนไทยแบบนี้ล่ะครับ ทำให้อังกฤษงงเป็นไก่ตาแตก จนถึงกับเรียกไทยว่า "Siamese Talk" เพื่อสื่อถึงความปลิ้นปล้อนของคนไทยว่าเปรียบเสมือนนกสองหัวที่จะอยู่ฝ่ายไหนก็ได้
2
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วเราก็สามารถรอดพ้นจากวิกฤติต่างๆ มาได้และที่สำคัญ อย่างไรเสีย "ผลประโยชน์ของชาติ" ย่อมสำคัญที่่สุด
2
โฆษณา