28 พ.ค. 2020 เวลา 08:33 • ท่องเที่ยว
Road Trip Norway 2019 (15) … ทิวทัศน์สุดอลังการที่ Preikestolen (Pulpit Rock)
จุดหมายที่เป็นไฮไลท์ของการเดินทางของเราในวันนี้ คือ การไปเดินขึ้นเขา และไปให้ถึง Preikestolen (Pulpit Rock) อันโด่งดัง
นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีความสวยงามทางธรรมชาติมากมาย และในแต่ละจุดท่องเที่ยวที่มีความสวยแปลกตานั้น บางแห่งที่ต้องขึ้นไปที่สูง เพื่อให้ได้เห็น และได้ภาพในแบบพาโนรามา
คนนอร์เวย์รักกิจกรรมการเดินเขา และไม่นิยมใช้การชมวิวและบรรยากาศธรรมชาติด้วยการใช้เฮลิคอปเตอร์ .. บางจุดชมวิวสวยๆ จึงต้องใช้วิธีเดินเท้าอย่างเดียว และใช้เวลาเดินหลายชั่วโมง แตกต่างกันไปตามลักษณะของเส้นทางที่ไม่ราบเรียบ บางสถานที่เป็นหินผาให้ไต่ขึ้นลง และต้องใช้กำลังมาก มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่าย
Preikestolen (Pulpit Rock) …
Preikestolen (Pulpit Rock) … เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศนอร์เวย์ ตลอดเส้นทางการเดินทางสู่ยอดเขาของ Preikestolen ซึ่งเป็นทางเดินหิน .. ไม่มีการสร้างรั้วป้องกันการพลัดตกลงมาด้านล่าง .. นัยว่าเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมรอบบริเวณนี้ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด และเมื่อลมบนเขาค่อนข้างจะแรงตลอดเวลา การเดินจึงต้องระมัดระวังมากๆ
การเตรียมฝึกร่างกายให้แข็งแรงเพียงพอต่อการเดินขึ้นเขาในระยะทางไปกลับราว 8 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเดินถึง 3-4 ชั่วโมงตามสมรรถภาพของแต่ละคน จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งควรเตรียมอุปกรณ์สำหรับเดินเขาให้พร้อม เช่น รองเท้าเดินเขาคุณภาพดี เสื้อกันลม ไม้ค้ำยันช่วยเดิน รวมไปถึงอาหารและน้ำดื่ม (ตลอดระยะทางที่เดินจะไม่มีร้านค้าให้บริการ)
ช่วงเช้าของวันนี้เราเดินทางออกจาก Rysstad มาตามถนนของที่ราบสูง Suleskard .. ช่วงเช้าฝนตกตลอดทาง แม้แต่ตอนที่เราแวะที่หมู่บ้าน Suleskard ฝนก็ยังไม่หยุด เราได้แต่หวังว่าเมื่อไปถึงทางขึ้น Preikestolen (Pulpit Rock) ฝนจะหยุดตก และเราสามารถที่จะเดินขึ้นเขาไปได้ โดยไม่เสี่ยงอันตรายมากจนเกินไป
ฝนยังมีเล็กน้อยในช่วงที่เราเดินทางมาถึงทางขึ้น Preikestolen (Pulpit Rock) .. มองเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินลงมาใส่เสื้อกันฝน กันหนาวกันทุกคน รวมถึงคนที่จะเริ่มเดินขึ้นก็เตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ เราก็ได้แต่ทำใจ ..
.. เราเดินไปดูบอร์ดที่ประกาศข้าวสาร มองเห็นคำเตือนว่า “ไม่แนะนำให้เดินขึ้นเขา เพราะฝนตกและลมแรง” .. แต่ไหนๆมาแล้ว ก็จะเดินขึ้นช้าๆ พร้อมเตรียมเสื้อกันฝนและกันหนาวเป็นพิเศษกว่าครั้งที่ไปเดินที่ Ryten Peak
ดูเหมือนว่าเทพเจ้าแห่งโชคดีจะมากับเรา .. พอเราเริ่มจะเดินทาง ฝนก็หยุดตก
เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม .. จากลานจอดรถเราเดินขึ้นไปตามทางที่เห็นชัด ช่วงแรกเป็นการเดินบนทางดินที่สโลปสูงเอาเรื่อง จนคิดถึงทางเดินขึ้นภูกระดึงที่บ้านเรา
“ทางเดินขึ้นเขานี้ มีเนินวัดใจอยู่หลายช่วงครับ” .. รุตน์บอกเป็นข้อมูล
“เหมือนจะวัดใจว่า จะเดินต่อไปดี หรือหันหลังกลับ” .. รุตน์พูดต่อ
“เดินล่วงหน้าไปก่อนเรื่อยๆละกัน ไม่ต้องรอพี่ .. หากเดินไม่ไหว พี่จะกลับลงมาเอง” .. ฉันตอบ
.. ทางเดินขึ้นเขาช่วงแรกที่ยาวพอสมควร และสโลปชันพอประมาณ ฉันก้าวฝืนความโน้มถ่วงของโลกขึ้นมาเรื่อยๆ ชนิดเหนื่อย (บ่อยๆ) ก็หยุดอู้บ้างพอประมาณ …
มองเห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งหลายคนเดินผ่านไปเร็วมาก แบบแป๊บๆหายลับตาไปเลย บางคนมีอุปกรณ์ Walking Sticks เป็นตัวช่วยให้เดินคล่องและเร็วขึ้น เพราะการทรงตัวจะดี
พอผ่านเนินดิน ทางเดินต่อไปเป็นบันไดปูด้วยหินที่ทั้งสองข้างของทางเดินมีต้นสนสูงชะลูด แข่งกันพุ่งตัวขึ้นไปรับแสงด้านบน ..
เส้นทางช่วงนี้มีลักษณะเป็นบันไดหินที่ค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นไป ไม่ยากเท่าไหร่ เป็นโอกาสให้เราได้วอร์มร่างกายไปด้วย … ฉันค่อยๆก้าวขึ้นที่สูงช้าๆ เหนื่อยก็หยุดพัก นึกในใจว่า หากอยากเที่ยว แต่ไม่อยากเดิน ก็คงไม่ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยๆ เพราะที่นี่เขาไม่มีการสร้างกระเช้าพาขึ้นไป ต้องอาศัยสองเท้าเท่านั้นเพื่อไปให้ถึง
พอเดินพ้นบันไดหิน เรามาถึงลานหินขนาดย่อม ไม่กว้างขวางมาก .. เดินอู้ๆพักเหนื่อยไปตรงขอบทาง เพื่อเก็บภาพด้านล่าง อันเป็นลานจอดรถที่เราเพิ่งจะผ่านมา มองเห็นถนนและป่าเขียวๆกว้างไกล
ทางเดินถัดไปเป็นทางราบพอสมควรแต่มีน้ำขังชื้นๆ .. ทางเดินหินช่วยให้การเดินไม่ลำบากและไม่เลอะโคลน แต่ทางเดินมีทั้งพื้นที่แห้งและชื้นแฉะ เช่นนี้ต้องเดินอย่างมีสติและระมัดระวังการลื่นล้มให้ดี
เมื่อเวลาผ่านไป ภูมิประเทศและทิวทัศน์ก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ .. จากทางเดินราบขนาบด้วยต้นไม้ ต้นหญ้า เปลี่ยนไปอีก เป็นลานหินที่ไม่ราบเรียบ บางช่วงลื่นเพราะฝนที่ตกก่อนหน้าที่เราจะไปถึง ฉันต้องทำใจและบังคับสายตาให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับทุกก้าวที่วางเท้าลงไป
สิ้นสุดทางในช่วงนี้ ฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะคุ้นเคยกับความเร็วของการเดินในแบบ My own pace .. การหายใจยาวๆ ในขณะก้าวเดินเป็นจังหวะ เหมือนเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
ฉันแวะถ่ายรูปลานพัก ที่มีกองหินสูงๆต่ำๆวางทับซ้อนกันมากมาย .. นักท่องเที่ยวบางคนนั่งพักรับประทานอาหาร บางคนนั่งดูแผนที่ ในขณะที่อีกหลายคนแค่นั่งให้สายลมพัดใบหน้า พอใจกับอากาศที่สดชื่นของภูเขา
อีกด้านหนึ่งของลานหิน มีแอ่งน้ำ มีต้นสนสวยๆ … ใครบางคนเลือกที่จะมานั่งมองผิวน้ำที่นิ่งสงบ
เราแวะถ่ายรูปเวิ้งน้ำ .. ก่อนที่จะก้าวเท้าขึ้นไปตามบันไดหินที่มีคนสร้างเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวก ..
“โลกกว้างในชีวิตของเรา เริ่มต้นด้วยการก้าวเท้าออกเดิน” .. ความคิดแบบนี้แหละที่เป็นพลังให้ชีวิตของฉันในช่วงหลัง เต็มไปด้วยการเดินทางออกไปเรียนรู้และสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ
โลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากจนเราอัพเดทกันไม่ไหว และรู้สึกไม่ปลอดภัยกับอนาคต เมื่ออยากรู้ จึงต้องออกเดินทาง … ไม่ใช่เราคนเดียว ผู้คนมีความอยากรู้ อยากเห็น ออกล่าออกค้นหามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาแล้ว
.. จากทางเดินลาดชันในป่า เป็นทุ่งโล่งกว้าง และสลับกลับมาเป็นทางชันขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีทั้งทางเดินหินตะปุ่มตะปั่มและบันไดหิน .. ระหว่างทางมีทิวทัศน์สวยๆให้ชื่นชมตลอด หากเหนื่อยก็หยุดพัก สูดอากาศบริสุทธิ์แรงๆเข้าไปให้เต็มปอด แล้วหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาเก็บภาพในรายทาง
ตอนนี้เราเดินมาถึงทุ่งโล่งๆ พื้นด้านล่างมีน้ำขัง จึงมีคนมาทำทางเดินไม้ไว้ .. ฉันเดินไปข้างหน้าในจังหวะที่สบายๆเหมาะสมกับสภาพของร่างกายและวัย .. ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปสัมผัสกับธรรมชาติปราศจากพันธนาการทางความคิด และจินตนาการ … รู้สึกดั่งสายน้ำ ไร้สีสันที่เจาะจง ไร้รสชาติพิเศษ ไร้โครงสร้างตายตัว หากแต่เป็นการเคลื่อนไหลไปตามครรลองของสิ่งรอบตัว …
ช่วงต่อมาของทางเดิน เป็นทางหินเลียบเขาสูง ซึ่งทางต่อมามีลักษณะคล้ายทางน้ำที่ไหลลงมาจากด้านบนที่สูงกว่า และมีน้ำตกขนาดย่อมๆที่ชวนให้ปีนขึ้นไปชม แต่ต้องระวังมากหน่อย และใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยันพยุงน้ำหนักตัว
หลังจากการปีนเขาที่หนักหนาพอดู … ช่วงก่อนถึงปลายทาง ทางเดินจะมีลักษณะเป็นบันไดหินที่ชันอีกครั้ง มองเห็นนักท่องเที่ยวบางคนเดินต่อไปไม่ไหว หรืออาจจะเป็นเพราะทางลื่นและไม่ราบเรียบ จึงอาจจะประสบอุบัติเหตุ ต้องให้คนอื่นช่วยพยุงและเดินช้าๆลงเขาไป
เส้นที่เราก้าวเดินในวันนี้ จะว่าไปก็ทำให้นึกถึงเส้นทางของชีวิตคนเรา … น้อยนักที่เส้นทางชีวิตจะเรียบตรงจากเปลถึงหลุมฝังศพ โดยไม่แผ้วพานอุปสรรคใดๆเลย คงมีช่วงตอนที่คดเคี้ยวเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตกันบ้าง … มีขาขึ้นและขาลง มีปัญหามาเป็นเครื่องทดสอบความแข็งแกร่งที่จะเดินหน้าต่อไปให้ถึงจุดหมาย
การก้าวไปบนถนนชีวิต ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่มีวิวทิวทัศน์ให้เพลิดตา เพลินใจเพียงเท่านั้น … ยังมีเส้นทางที่ทุรกันดาร เป็นหลุมเป็นบ่อ ดักรอด้วยขวากหนาม บางช่วงก็มืดและยืดยาว ต้องใช้ความมุ่งมั่นและอดทนเพื่อผ่านพ้นไปได้ ขณะเดียวกันก็ต้องมีการรู้จักประมาณตน รวมอยู่ในปัจจัยเหล่านั้นด้วย
เร่ง ในเวลาที่ต้องเร่ง … รอ ในสถานการณ์ที่ควรรอ และเผชิญปัญหาอย่างมีสติ … ล้วนเป็นคุณสมบัติของยอดนักเดินทางบนถนนชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโชคลางและทางลัด
บางช่วงของทางเดินจะเป็นทางแคบๆที่ต้องระวังและหลีกให้คนที่สวนมาได้ผ่านไป … ป้ายบอกทางจะเห็นน้อยมากๆ ใครบางคนบอกว่า ทางการพยายามที่จะรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีที่สุด อาจจะมีเพียงสัญลักษณ์ “T” ตามจุดต่างๆยู่บ้าง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รู้ทิศทางการเดิน และไม่ออกนอกเส้นทาง
เรายังคงเดินขึ้นเรื่อยๆ วิวสวยๆ อากาศก็ดี ทำให้เดินได้เพลินๆ … อันที่จริงเส้นทางเดินขึ้นไม่ได้ลำบากจนเดินไม่ได้ แม้มีเนินชั้นให้ต้องปีนป่ายเล็กๆอยู่บ้าง แต่ด้วยวัยที่เกือบจะถึงเลขเจ็ด ทำให้ต้องวางเท้าในแต่ละก้าวด้วยความมั่นใจว่าวางลงไปในจุดที่ไม่ลื่น และไม่พลาดพลั้ง ..
เริ่มจะมองเห็นแนวภูเขาสีฟ้าเทาแล้ว นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเข้าใกล้แนวฟยอร์ดแล้ว … เมื่อเดินลงไปตามทางเดินหินแคบๆ เห็นมีสะพานไม้เลียบโตรกผา ต่อด้วยทางเดินหินแคบๆเลียบผาหินเช่นกัน ช่วงนี้มีราวที่ยึดโยงกันเอาไว้ เวลาเดินก็ต้องระวัง และเดินหลักกันให้ดี ไม่ให้พลาดพลั้งตกเหว
ช่วงสุดท้ายของการเดินขึ้น เป็นลานหินที่มีความชันพอสมควร แต่ยังเดินได้ด้วยการโน้มตัวไปด้านหน้าเยอะหน่อย และยังคงต้องระวังการลื่นมากๆ
เราเริ่มจะมองเห็นแนวฟยอร์ดจากมุมสูงสุด … เราเลี้ยวเข้ามามาหยุด ณ จุดชมวิวชมด้านบน เพื่อถ่ายภาพฟยอร์ดจากมุมสูง
… ปัจจัยที่ทำให้เกิดฟยอร์ดคือธารน้ำแข็งจำนวนมหาศาลในยุคโบราณซึ่งเข้ามาปกคลุมโลก ธารน้ำแข็งขนาดยักษ์น้ำหนักมหาศาลนี้เคลื่อนตัวต่ำลงในเวลาต่อมา ระหว่างทางน้ำหนักนี้ก็ไปกดและกัดเซาะพื้นโลกอย่างรุนแรง .. บางพื้นที่ถูกบดขยี้เป็นเศษธุลี บางแห่งก็ยุบตัวลง และเกิดเป็นร่องและโตรกเขาสูงชันในระดับหลายร้อยเมตรทั้งสองฝั่ง
… เมื่อเวลาผ่านไปนับหมื่นนับแสนปี นับล้านปี … ร่องภูเขาได้เคลื่อนไปจรดกับทะเล เป็นเขตที่มีความเว้าเข้า เว้าออกที่มีชื่อเรียกว่า ฟยอร์ด
.. ในจุดที่ธารน้ำแข็งหยุดเคลื่อนตัว และน้ำหนักกราเซียร์ลดลงมาก การกัดเซาะก็จะน้อย กลายเป็นส่วนของสันเขื่อนใต้น้ำ และเป็นปากฟยอร์ดที่มีความแรงของกระแสน้ำมากในช่วงน้ำขึ้น น้ำลง เพราะมวลน้ำจำนวนมหาศาลไหลผ่านสันเขื่อนใต้น้ำ หรืออาจจะเกิดน้ำวนขึ้นได้ในบางพื้นที่ของโลก
ครรลองของธรรมชาติ ก็มีวิถีแห่งการเดินทางเช่นกัน … จากจุดเริ่มต้นดำเนินด้วยความนิ่งที่ยิ่งใหญ่ .. ผ่านเข้าสู่ช่วงที่ต้องตัดสินใจ เลือกทางเดิน เลือกวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งสิ่งที่เลือกล้วนแปรเปลี่ยนเส้นทางเก่า สู่เส้นทางใหม่ …
ทิวทัศน์ด้านบน จะมองเห็นแนวฟยอร์ดจากมุมสูงสุดลูกหูลูกตา … หากไม่กลัวความสูง และไปยืนบนหน้าผา ก็จะได้ชมทิวทัศน์ของอ่าวที่ถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่งเป็นร่องลึก และฝั่งตรงข้ามคือ “Kjerag หินค้างกลางเขา” ที่โด่งดังไปทั่วโลก
ในท่ามกลางลมที่แรงและหนาวนิดๆ … เรามองเห็นฟยอร์ดมีแง่มุมเลี้ยวลดเป็นแง่ง เป็นผาและฉากชั้นมากมายที่ปรากฏในสายตา ดูลึกลับ
หน้าผา Pulpit Rock… เป็นธรรมชาติที่เห็นในสายนั้นสวยอลังการมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เกิดขึ้นในยุคน้ำแข็งราวหนึ่งหมื่นปีก่อน เมื่อธารน้ำแข็งสูงถึงขอบหน้าผาและได้แช่แข็งตรงรอยแยกของภูเขาไว้ กัดเซาะจนภูเขาเป็นเหลี่ยม และเมื่อธารน้ำแข็งละลายไป หน้าผาจึงกลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบที่เห็นในปัจจุบัน
พื้นที่บน Preikestolen มีลักษณะเป็นลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมกว้าง 25X25 เมตร ยื่นเข้าไปเป็นหน้าผาแนวดิ่งลึกลงสู่ Lysefjorden ที่อยู่ด้านล่างที่สูงชันถึง 604 เมตร (1982 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล ดูน่าหวาดเสียว …
Pulpit Rock มีรูปทรงที่แปลกตา เป็นภูเขาหินทะมึน ไม่มียอดแหลมแบบที่เราเคยเห็น แต่เหมือนใครเอามีดที่คมกริบขนาดยักษ์มาตัดยอดออกจนแบนราบอย่างน่าอัศจรรย์
ด้านข้างสูงชันเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับน้ำทะเลอย่างไม่น่าเชื่อ จนได้ชื่อว่า Preikesstolen ซึ่งแปลว่า "เก้าอี้ธรรมาสน์"
ตำนานเล่าขานกันมาว่า ... เมื่อหญิงสาว 7 คนซึ่งเป็นพี่น้องกัน ได้แต่งงานกับชายหนุ่ม 7 คนที่เป็นพี่น้องกันเช่นกัน และอาศัยอยู่ใน Lysefjord การแต่งงานครั้งนี้ทำให้ฟ้าดินพิโรธ และทำฤทธิ์เดช จนกระทั่งภูเขาแตกแยกออก และตกลงสู่ฟยอร์ด จากนั้นคลื่นยักษ์ก็สาดซัด ทำลายทุกชีวิตจนสูญสิ้น
... เศร้าจริงๆ
แต่ความสวยงามของหน้าผาและทิวทัศน์ที่อยู่บนที่สูงมาก ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมากมาย กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทาธรรมชาติที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในประเทศนอร์เวย์
แม้จะเหนื่อยล้าอยู่บ้างในการเดินไปยังจุดสุดท้ายของทางเดิน แต่เรายังสนใจสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในสายตาเป็นฉากๆรายทาง… ก้มไปมองด้านล่าง จะเห็นแหล่งน้ำสีเขียวที่มองจากด้านบนลดเลี้ยวท่ามกลางโตรกหินที่ขนาบอยู่ทั้งสองข้าง มองดูสวยงามที่สัมผัสได้ด้วยตา และอิ่มเอมด้วยใจ
… สวยอลังการ คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาชม ฉันและเพื่อนร่วมทางการันตีว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อย และนี่คือทั้งหมดของภาพและความประทับใจที่เกิดบนเส้นทางมหัศจรรย์ของ Pulpit Rocks ที่หลายคนอยากมาเห็นด้วยตาของตนเอง
โฆษณา