31 พ.ค. 2020 เวลา 10:03 • ท่องเที่ยว
Road Trip Norway 2019 (17) … Stavanger : ชมเมืองเก่า เล่าประวัติศาสตร์ มีสงครามจึงมีชาติ มีดาบจึงมีสันติภาพ
Old Stavanger (Gamle Stavanger).. เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ของเมือง Stavanger ในเขต Rogaland ประเทศนอร์เวย์ ใกล้ๆกับท่าเรือ Vagen
พื้นที่บริเวณนี้มีมีอาคารไม้เก่าสีขาว ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี … เป็นเมืองเก่าที่ยังมีลมหายใจ อาคารเหล่านี้ถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นแกลเลอรี่งานศิลปะ และอื่นๆ
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการวางผังเมืองใหม่ใน Stavanger .. มีการรื้อถอนบ้านไม้เก่าแก่ในเขตศูนย์กลางของเมืองไปมากมาย และสร้างอาคารคอนกรีตสมัยใหม่ขึ้นมาแทน
อย่างไรก็ตาม มีคนๆหนึ่งที่ลุกขึ้นมาคัดค้านแผนการนี้ เขาคือ Einar Hedén (1916-2001) ซึ่งตอนนั้นเป็นสถาปนิกของเมือง .. จากนั้นในปี 1956 สมาชิกสภาของเมืองได้โหวตให้มีการอนุรักษ์ส่วนหนึ่งของเมืองเก่าเอาไว้ และชุมชน เมืองเก่าที่เรามาเยือนในวันนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นหนี้บุญคุณเขาอย่างสูงทีเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า พื้นที่ที่ได้รับการโหวตให้อนุรักษ์ตอนนั้น เป็นเขตที่ไม่ค่อยจะน่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่ เพราะประกอบไปด้วยอาคารไม้ที่ทรุดโทรม อันเป็นที่อยู่ของคนงานในอุตสาหกรรมบรรจุปลาซาดีนกระป๋อง ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของท่าเรือ Vågen
พื้นที่นี้มีอาคารไม้อนุรักษ์ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19-20 บ้านบางหลังเป็นของเทศบาลเมือง แต่ส่วนใหญ่เป็นของเอกชน และเมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่จากเดิมเป็นพื้นที่ไม่เป็นที่นิยม กลับกลายเป็นพื้นที่ฮิตฮ๊อท อัพเกรดเป็นพื้นที่ยอดนิยม เป็นหมุดหมายที่คนที่มาที่นี่ต้องมาเยือน พลาดไม่ได้
Gamle Stavanger เติบโตอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้มีอาคารไม้หลังเล็กๆสีขาวราว 250 หลังที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นพิพิธภัณฑ์ เช่น Norwegian Canning Museum
สภาเทศบาลเมือง Stavanger ได้รับรางวัลมากมายสำหรับการอนุรักษ์ชุมชนเก่าแห่งนี้ เช่นในปี 1975 อันเป็นปี European Architectural Year .. Gamle Stavanger, หมู่บ้านชาวประมง Nusfjord in Nordland และอดีตเมืองแห่งการทำเหมือง Røros in Sør-Trøndelag ได้รับการยกย่องให้เป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์อาคารเก่าและยังคงใช้สอยในชีวิตประจำวัน รวมถึงการดำรงชีวิตสมัยใหม่ โดยไม่ต้องสูญเสียเอกลักษณ์ที่มีค่า
เราเดินช้าๆไปตามถนนที่ปูด้วยหินที่เรียกว่า Cobbled Stone ผ่านบ้านไม้หลังเล็กๆมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนเนิน บางหลังประดับโคมไฟสวยงาม และแต่ละหลังปลูกดอกไม้สวยๆที่พลิ้วไหวตามแรงลม ส่งกลิ่นหอมในกระถาง ในแปลงดอกไม้ ราวกับจะโบกมือต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยความยินดี
ทุกก้าวย่างที่เราเดินผ่าน ได้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสู่ยุคนอร์เวย์โบราณ ที่แตกต่างกันมากมายกับช่วงเวลาปัจจุบัน .. รื่นรมย์มากมายในวันสบายๆ
Stavanger Cathedral .. เป็นมหาวิหารยุคกลางที่เก่าแก่และยังมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด และเป็นมหาวิหารแห่งเดียวในนอร์เวย์ที่มีการใช้งานต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบัน .. เริ่มสร้างในสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์เมื่อประมาณปี 1100 (ทางการของเมืองเริ่มนับตั้งแต่ปี 1125) โดยการริเริ่มของ Bishop Reinald จาก Winchester และสร้างเสร็จราวปี 1150
โบสถ์แห่งนี้สร้างเพื่ออุทิศแด่ Saint Swithun ซึ่งเป็นบิชอปองค์แรกๆของวินเชสเตอร์ ซึ่งต่อมาได้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของ Winchester Cathedral
ในช่วงต้นๆ โบสถ์นี้เป็นเพียงสังฆมณฑลของ Stavanger ภายใต้ศาสนาจักรโรมันคาทอลิก จนมาถึงช่วงการปฏิรูปโปรแทสเต๊นท์
โบสถ์ประสบอัคคีภัยในปี 1272 และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จนต้องมีการสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ภายใต้การดูแลของ Bishop Arne (1276–1303) ซึ่งได้ขยายเปลี่ยนรูปแบบจากสไตล์ Romanesque มาเป็นแบบ Gothic
ในปี 1682 กษัตริย์ Christian V ได้เปลี่ยนย้ายตำแหน่ง Stavanger's episcopal ไปไว้ที่เมือง Kristiansand ที่ Kristiansand Cathedral … อย่างไรก็ตามในวาระ 800 ปีของโบสถ์เมื่อปี 1925 กษัตริย์ Haakon VII ได้ทรงแต่งตั้ง Jacob Christian Petersen (1870-1964) มาดำรงตำแหน่งบิชอปอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 250 ปี
ในช่วงที่มีการปรับปรุงซ่อมแซมโบสถ์ในปี 1860s ได้มีการเปลี่ยนโฉมทั้งภายนอกและภายใน เช่นการฉาบกำแพงหิน จนสูญเสียลักษณะส่วนใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ในสมัยกลาง
การซ่อมแซมใหญ่อีกครั้งในปี 1939–1964 สถาปนิก Gerhard Fischer ได้เข้ามาเปลี่ยนกลับไปดังเดิม .. การซ่อมแซมใหญ่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1999
ตรงทางเข้าสู่บริเวณแท่นบูชา มีรูปปี้นของกษัตริย์ Magnus VI, King Eric II และ King Haakon V… นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุที่เก่าแก่อีกหลายชิ้น เช่นที่นั่งของบิชอป
ถนน Ovre Holmegate
ถนน Ovre Holmegate อยู่ด้านตะวันออกของท่าเรือ Vagen เป็นถนนสายสำคัญในย่าน Down town ของเมือง .. รายล้อมด้วยบ้านไม้สีจัดจ้าน สวยสดใสเหมือนลูกกวาด โดยเน้นสีโทนชมพู เขียว เหลือง และม่วง
ก่อนปี 2005 ย่านนี้ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เมื่อเกิดโครงการ “Kul Kultur” ถนนสายนี้จึงได้รับการแปลงโฉมใหม่ จากการเสนอไอเดียของช่างทำผมคนหนึ่ง ชื่อ Tom Kjørsvik
การเปบี่ยนแปลงอยย่างแรก คือ การเปิดให้ขวดยานต่างๆผ่านได้ หลังจากนั้นได้ใช้สีสันสดใสร้อนแรงหลายๆสี มาช่วยให้เกิดชีวิตชีวา ภายใต้การแนะนำของศิลปินชื่อ Craig Flanagan
อาคารแต่ละหลังทาสีต่างๆกัน ทั้งเฉดสีเขียว ชมพู และสีอื่นๆ ... จนเกิดเป็นถนนที่มีสีสันมากที่สุดในเมืองนี้ ... อาคารแถบนี้มีทั้ง ร้านกาแฟเก๋ๆ ผับ ร้านค้า รวมถึงบูติกโฮเต็ล
ย่านนี้ จึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่โดดเด่นของเมืองที่ได้รับความนิยมในการแวะมาถ่ายรูป หรือนั่งเล่นด้านนอกของคาเฟ่ฮิปๆ ที่มีอยู่หลายแห่ง การเดินเล่นบนถนนสายนี้จึงเป็นความสุข และสนุกสนาน และห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
St. Petri Church (Norwegian: St. Petri kirke) .. สร้างในปี คศ.1866 กลางเมืองStavanger เป็นโบสถ์ที่สร้างจากอิฐสีแดง ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Fritz von der Lippe
เป็นโบสถ์ที่สามารถรองรับผู้เลื่อมใส และศาสนิกชนได้ราว 900 คน
Sverd I Fjell (The Three Swords Monument) หรือ อนุสาวรีย์สามดาบ ตั้งอยู่ที่ Hafrsfjord เมือง Stavanger ประเทศนอร์เวย์ ออกแบบก่อสร้างโดยประติมากรชื่อ Fritz Roed เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงการสู้รบเมื่อปี คศ. 872 ที่สมรภูมิ Hafrsfjord อันเป็นการรวมชาติขึ้นเป็นครั้งแรก .. พิธีเปิดนุสรณ์สถานทำโดย King Olav ในปี คศ.1983
อนุสาวรีย์แห่งนี้มีประติมากรรมรูปดาบ 3 เล่มสูงเล่มละราว 10 เมตรปักลงไปในหินบนเนินหินเตี้ยๆ ถัดจากแนวฟยอร์ดนั้นเอง
การสู้รบเมื่อปี คศ. 872 ที่สมรภูมิ Hafrsfjord ที่บริเวณอ่าวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Stavanger เกิดขึ้นเมื่อไวกิ้งเผ่าหนึ่ง นำโดย Harald Fairhair ได้ทำการสู้รบกับไวกิ้งเผ่าอื่นๆที่มาจากทางตะวันออก ตะวันตก และทางใต้ของนอร์เวย์ ..
แต่ละเผ่าพยายามที่จะเข้ามาควบคุมพื้นที่แถบนี้ ซึ่งถือเป็นจุดที่มีสำคัญด้านการเมืองในยุคของไวกิ้งเลยทีเดียว ด้วยเป็นจุดที่จะเริ่มเดินเรือออกไปทางทิศตะวันตก
เมื่อ Harald Fairhair ได้ชัยชนะในการรบ เขาก็ได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของนอร์เวย์ และทำการรวมชาติครั้งแรกขึ้นที่เรียกว่า “Rikssamlingen” (the Unification of Norway)
ดาบบรอนซ์อันใหญ่ตรงกลางที่มีมงกุฎระดับ เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของ Harald Fairhair ส่วนดาบอีก 2 อันที่มีรูปลักษณ์เรียบง่าย แทนความพ่ายแพ้ของคู่ต่อสู้
อนึ่งการที่ดาบปักลงในหิน จะดึงอย่างไรก็คงไม่ออก จึงมีนัยยะหมายถึงสันติภาพแบะความสงบสุขชั่วกาลนาน
ดื่มด่ำกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และถ่ายรูปด้พอสมควรแล้ว เราได้ใช้เวลาสบายๆนั่งทานอาหารร่วมกันริมฝั่งฟยอร์ดนั่นเอง ก่อนที่จะเดินทางต่อ
โฆษณา