Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ประวัติศาสตร์สงขลาวิจักษ์
•
ติดตาม
5 มิ.ย. 2020 เวลา 16:33 • ประวัติศาสตร์
เมื่อเมืองพัทลุงที่สทิงพระ ไม่ได้ล่มสลายเพราะโจรสลัด...? (ตอนจบ)
.....ในบรรดาหัวเมืองในข้าขอบขัณฑสีมากรุงศรีอยุธยาฝ่ายใต้ คงไม่มีเมืองใดมีอำนาจในการกำกับดูแลเมืองใกล้เคียงไปยิ่งกว่า “เมืองนครศรีธรรมราช” ซึ่งเป็นหัวเมืองขนาดใหญ่มาตั้งแต่โบราณ แต่เดิมก่อนมีการผนวก “พระนครศรีธรรมราช” เข้าเป็นเมืองภายใต้การปกครองจากกรุงศรีอยุธยา สถานะของพระนครศรีธรรมราชไม่แตกต่างจากพระนครอโยธยาศรีรามเทพของสมเด็จพระรามาธิบดีหรือพระนครสุพรรณภูมิของสมเด็จพระบรมราชาธิราช ซึ่งเจ้าผู้ครองพระนครต่างเป็นอิสราธิปัตย์ ไม่ต้องขึ้นตรงต่อกันเพียงแค่สถาปนาความสัมพันธ์ฉันมิตรหรือผูกให้แน่นยิ่งขึ้นไปโดยการอภิเษกสมรสของพระราชบุตรพระราชธิดา
ภาพถ่ายกำแพงเมืองนครศรีธรรมราช ฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ขอขอบคุณภาพจากคุณสารัท(นิก) ชลอสันติสกุล
.....ภายหลังเมื่อพระนครศรีธรรมราชลดฐานะลงเป็นข้าขอบขัณฑสีมา พระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองอยุธยาก็ยังคงเฉลิมพระยศเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชถึงขนาดเป็นเมืองชั้นเอก ปกครองดูแลเมืองหัวเมืองปากใต้และกำกับเจ้าประเทศราชมิให้ออกนอกกรอบนอกธรรมเนียม ด้วยเหตุผลดังกล่าวสถานะของเมืองนครศรีธรรมราชยิ่งมั่นคงแข็งแรงไม่มีเมืองใดในแหลมมลายูกล้าต่อรบด้วย
.....เมื่อเมืองนครศรีธรรมราชแข็งแกร่ง ทัพจากต่างเมืองที่คิดจะต่อรบจึงต้องเปลี่ยนไปเป็นเมืองข้างเคียงซึ่งมีกำลังไพร่พลน้อยและการช่วยเหลือจากนครศรีธรรมราชทำได้ล่าช้า เมืองพัทลุง(คือสทิงพระ จ.สงขลาในปัจจุบัน) จึงเป็นเป้าหมายในการรุกราน กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติ เนื่องจากเป็นเมืองขนาดเล็ก ไพร่พลมีน้อย มีทรัพย์สมบัติจากการอุทิศแก่ศาสนสถานมากมาย และเมื่อตีเมืองกวาดต้อนผู้คนได้มากแล้วก็สามารถหลบหลีกหนีออก ไปทางทะเลได้โดยง่าย เมืองพัทลุงจึงเป็นเป้าหมายตั้งแต่แรกของกองทัพอาเจะอาหรู อุยงคตนะและยักษ์ตรีชวา เมื่อเมืองพัทลุงสมัยของออกหลวงเยาวราชเดชะและออกเมืองคำ ต้องสู้รบกับกองทัพของกษัตริย์ต่างประเทศ จึงน่าสนใจว่าเมืองขนาดใหญ่ที่เมืองพัทลุงต่อสู้ด้วย ควรจะตั้งอยู่ที่ใดบนคาบสมุทรมลายู
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่จังหวัดพิษณุโลก
.....กฎมณเทียรบาลซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ออก นามเมืองพระยาประเทศราชถวายต้นไม้เงินทอง โดยจัดแบ่งเป็นเมืองฝ่ายเหนือ ๑๖ เมืองและเมืองฝ่ายใต้อีก ๔ เมืองรวมเป็น ๒๐ เมือง ซึ่งเมืองฝ่ายใต้ประกอบด้วยเมืองอุยองตะหนะ เมืองมลากา เมืองมลายูและเมืองวรวารี ซึ่งหากได้สังเกตชื่อ “...อุยองตะหนะ...” ก็จะทราบว่าคือชื่อเดียวกับกองทัพที่ยกมาตีเมืองพัทลุงในสมัยของออกเมืองคำเป็นเจ้าเมืองอย่างมิต้องสงสัย
“....ศุภมัศดุ ศักราช ๗๒๐ วันเสาเดือนห้าขึ้นหกค่ำ ชวดนักสัตวศก สมเดจพระเจ้ารามาธิบดีบรมไตรโลกนารถ มหามงกุฎเทพมนุษ วิทสุทธิสุริยวงษ องคพุทธางกูร...เสดจ์สถิตยในรัตนสิงหาศบัญชรสิงห์.... ฝ่ายกระษัตรแต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินทังนั้น ๒๐ เมืองคือ...(ชื่อเมืองฝ่ายเหนือ)...๑๖เมืองนี้ฝ่ายเหนือ เมืองฝ่ายใต้ เมืองอุยองตะหนะ เมืองมลากา เมืองมลายู เมืองวรวารี ๔เมืองเข้ากัน ๒๐เมืองถวายดอกไม้ทองเงิน...”
หัวเมืองกระษัตรฝ่ายใต้ที่ถวายดอกไม้เงินทอง ๔ เมือง(จุดสีแดง) ตำแหน่งที่ตั้งเมืองสันนิษฐานและทำแผนที่โดย ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร ภาพจากหนังสือกฎมณเฑียรบาล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ
.....ย้อนกลับมาพิจารณาตำแหน่งที่ตั้งของเมืองกระษัตรฝ่ายใต้๔ เมืองคือเมืองอุยองตะหนะ เมืองมลากา เมืองมลายูและเมืองวรวารี จะพบข้อสังเกตดังต่อไปนี้
๑.เมืองมลากา หรือเมืองมะละกาในปัจจุบัน เป็นประเทศราชของราชอาณาจักรสุพรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา มาแยกตัวเป็นอิสระเมื่อสมัยราชาปรเมศวรได้ครองเมืองมลากา ครั้นสิ้นสมัยราชาปรเมศวรความสัมพันธ์ระหว่างพระนครศรีอยุธยากับมะละกาจึงผลัดกันรบผลัดกันมีไมตรีเสมอมาจนกระทั่งมะละกาตกเป็นของโปรตุเกสในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่๒
แผนที่เมืองมะละกา วาดโดย Godinho de Eredia, Manuel (1563-1623)
๒.เมืองวรวารี ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียรและคณะได้สันนิษฐานว่าเมืองวรวารีควรจะตั้งอยู่บนเกาะชวาโดยอ้างอิงจากจารึกโบราณของพระเจ้าแอร์ลังคะซึ่งเรียกชวาภาคกลางว่า "วุรวารี" ซึ่งผู้เขียนเห็นต่างออกไปโดยเชื่อว่า วรวารี น่าจะเป็นเมืองเคดาห์หรือไทรบุรีมากกว่า เนื่องจากในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองไทรบุรีได้ถูกสถาปนาขึ้นแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งราบเหมาะแก่การทำเกษตรกรรมและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นแล้ว วรวารี ตามที่ปรากฎในกฎมณเทียรบาลจึงน่าจะเป็น เคดาห์หรือไทรบุรี ในปัจจุบัน
๓.เมืองมลายู
๔.เมืองอุยองตะหนะ เมืองอุยองตะหนะ เป็นภาษามลายูมาจากคำว่า อุยง+ตะนะ หมายความว่า ปลายสุดของแผ่นดิน น่าสงสัยว่าเมืองอุยองตะหนะตั้งอยู่ที่ใดบนปลายแหลมมลายู นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าอุยองตะหนะน่าจะหมายถึงเมืองยะโฮร์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ปลายสุดแล้วของแผ่นดินคาบสมุทรมลายู แต่จากประวัติเมืองยะโฮร์และเมืองเปรัคต่างกล่าวสอดคล้องกันว่า เมืองทั้งสองเกิดขึ้นภายหลังปี พ.ศ.๒๐๕๔ ซึ่งเป็นปีที่โปรตุเกสเข้ายึดมะละกาได้เบ็ดเสร็จและบรรดาโอรสของสุลต่านแห่งมะละกาต่างแยกย้ายกันไปสร้างเมืองซึ่งปัจจุบันคือเปรัคและยะโฮร์
....เมืองอุยองตะหนะจึงเป็นเมืองยะโฮร์ไม่ได้ เนื่องจากในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองยะโฮร์ยังไม่ได้เกิดขึ้น เมืองที่เหมาะสมจะเป็น เมืองอุยองตะหนะจึงเหลือเพียงเมืองตรังกานูเท่านั้น ซึ่งเมืองตรังกานูเป็นที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำลังทหารจำนวนมาก ประกอบกับตรังกานูเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญตั้งแต่สมัยอาณาจักรมัชปาหิต อาณาจักรเขมรและกลุ่มพ่อค้าชาวจีน จึงทำให้ตรังกานูสามารถสร้างกองเรือขนาดใหญ่ ทั้งกองเรือพาณิชย์และเรือรบได้ ด้วยความสามารถทางด้านการรบและการเดินเรือ การที่ตรังกานูจะโจมตีเมืองขนาดเล็กที่ติดทะเลหลวงอย่างพัทลุงจึงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อรบชนะ กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินได้จำนวนมากแล้วก็สามารถใช้เรือรบออกสู่ทะเลหลวงได้โดยที่กองทัพจากเมืองนครศรีธรรมราชไม่อาจจะติดตามได้
แผนที่โบราณ แสดงเส้นทางและเมืองต่างๆ จากสมุดภาพไตรภูมิ
บันทึก
3
5
3
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย