11 มิ.ย. 2020 เวลา 16:41 • ธุรกิจ
###เมื่อ Wall Street กับ Main Street ตัดขาดจากกัน อะไรจะเกิดขึ้น###
Wall Street คือ ถนนที่ตั้งใน เขต Lower Manhattan ของ ตลาดหลักทรัพย์ NYSE ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาด $28.5 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ
ความหมายทางนัยยะของ Wall Street คือ ตัวแทนตลาดเงินตลาดทุนในระบบทุนนิยม (Capitalism)
ในขณะเดียวกันในอเมริกา Main Street คือถนนหลักๆที่มีในดาวน์ทาวน์แทบจะทุกเมือง ไม่ว่าจะเมืองใหญ่ เมืองเล็ก
ความหมายโดยนัยยะของ Main Street คือ คนทั่วไป คนธรรมดาส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่หาเช้ากินค่ำ หรือกลุ่มรากหญ้าถ้าแปลแบบไทยๆ
การระบาดอย่างหนักของโควิด-19ในสหรัฐอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากระทบหนัก ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเกิน 2 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 1.1 แสนคนและยังควบคุมไม่ได้
ธุรกิจหลายแห่งเจอกับล๊อคดาวน์ มีการทำ social distancing
นอกจากนั้นการประท้วง Black lives matters ให้กับ คุณ George Floyd ทำให้ธุรกิจกระทบหนักเข้าไปอีก มีการปล้นสะดมร้านค้า ลอบวางเพลิงโดยผู้ไม่หวังดี หรือมือที่สาม ยิ่งทำให้ main street แย่หนักเข้าไปอีก คนแทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว
ตัวเลขอัตราคนว่างงานของสหรัฐอเมริกาออกมา 13% แต่คาดว่าตัวเลขจริงคือ 16% ในขณะนี้มีผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเกิน 40 ล้านคนเข้าไปแล้ว
ธุรกิจขนาดเล็กพากันปิดตัวเองลง เพราะไม่สามารถดำเนินกิจการไปต่อได้ เงินทุนสำรองไม่เพียงพอ
บางบริษัทที่ไม่ได้ disrupt ตัวเองในธุรกิจห้างสรรพสินค้าอย่าง Sears, JCP ก็ไม่อาจแบกภาระต้นทุนค่าเช่าอสังหาและพนักงานได้ ก็ต้องยื่นขอล้มละลาย หรือบริษัทรถเช่าอย่าง Hertz ที่ถือครองรถอยู่ในสต๊อคมากเกินไป เมื่อเกิดโควิด ไม่มีรายได้ก็ต้องยื่นล้มละลาย หรือแม้กระทั่งสายการบินไม่ว่าจะเป็น Delta , American Airline , United เมื่อปิดประเทศก็ไม่มีคนเดินทาง ทำให้ธุรกิจสายการบินที่มีต้นทุนคงที่ ขาดเงินสด
แต่ในขณะเดียวกัน ดัชนี Nasdaq กลับทำสถิติ All-time high , ดัชนี S&P ปรับตัวไปอยู่สูงกว่าระดับก่อนหน้า Covid-19 ซะอีก หุ้นกลับพุ่งขณะที่เศรษฐกิจแย่
####เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น####
การอัดเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ จริงๆแล้วคือการพยุง Wall Street ซะมากกว่า เมื่อ FED พิมพ์แบงค์เอง* (ประมาณ $4 ล้านล้าน USD) จึงเข้ามาพยุงทั้งตลาดเงินและตลาดทุน การทำ QE หลักๆคือเข้ามาพยุงตราสารหนี้ (ประมาณ 3 ใน 4 )เพื่อไม่ให้บริษัทต่างๆใช้เงินหมดไปกับการใช้หนี้และที่เหลือก็เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เหมือนกับทำเพื่อคนรวยเท่านั้น
สำหรับ Nasdaq หุ้นที่ disrupt จาก new normal ที่คนอยู่บ้านกันมากขึ้น หรือ work from home ต่างก็พุ่งทะยานไม่ว่าจะเป็น Amazon, Facebook, Netflix , Microsoft หรือแม้กระทั่ง application ที่มาแรงอย่าง zoom ที่ราคาหุ้นแทบไม่กระทบอะไรเลย 1% ของ American ที่เป็น billionaires กลับรวยขึ้น
มีอีกสิ่งหนึ่งที่คนไม่ค่อยสังเกตุคือ ยอดขายอาวุธปืนพุ่งกระฉูด หลังจากการประท้วง Black lives matter เพื่อชีวิตของคุณ George Floyd
เมื่อคนส่วนใหญ่ในประเทศจนลง อาชญากรรมที่พุ่งขึ้นสูง โรคระบาดที่ยังไม่สามารถควบคุม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเริ่มน้อยลงทุกที
เส้นแบ่งความจนกับความรวยเริ่มห่างกันออกไปกันมากขึ้น คนจนก็ไม่มีจะกิน คนรวยก็รวยล้นฟ้าและคุมทรัพยากรทางเศรษฐกืจได้หมด และต่อให้รวยมากๆขึ้น ประเทศยังจะน่าอยู่อีกหรือ????
อ้างอิงจาก:
โฆษณา