17 มิ.ย. 2020 เวลา 11:18 • ประวัติศาสตร์
การหย่าร้างที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยุโรป (Eleanor of Aquitaine) ตอนที่ 1
หมายเหตุ : บทความนี้เล่าเรื่องของราชวงศ์ยุโรป แต่เนื่องจากผมไม่ชำนาญในการใช้ราชาศัพท์ จึงไม่ได้ราชาศัพท์นะครับ เจตนาแค่อยากจะเขียนเรื่องที่ง่ายต่อการเข้าใจสำหรับคนทั่วไป ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นเรื่องราวของการหย่าร้างครับ
และไม่ใช่แค่การหย่าร้างธรรมดา แต่เป็นการหย่าร้างที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของยุโรป
เป็นการหย่าร้างของผู้หญิงที่ปกครองดินแดนเกือบครึ่งประเทศฝรั่งเศส
เป็นการหย่าร้างของผู้หญิงที่เคยเป็นราชินีของฝรั่งเศส
เป็นการหย่าร้างของผู้หญิงที่ต่อมาเป็นราชินีของอังกฤษ
เป็นการหย่าร้างของผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในผู้นำกองทัพครูเสด
1
เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้
เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในยุโรปช่วงต้นของศตวรรษที่ 12
ชื่อของเธอคือ Eleanor of Aquitaine
1. เจ้าหญิงที่เนื้อหอมที่สุดของยุโรป
เอเลนอร์ เติบโตที่เมือง Poitier แคว้น Aquitaine และเนื่องจากเธอเป็นลูกสาวคนโต ของ Duke ที่ปกครองแคว้น Aquitaine ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส เดิมทีเดียว Eleanor มีน้องชายอยู่หนึ่งคน แต่ต่อมาเมื่อน้องชายเสียชีวิตลง เธอจึงถูกวางตัวไว้ว่าจะเป็นผู้ที่จะได้ครอบครองแคว้น Acquitane ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
ภาพแสดงให้เห็น Duchy of Aquitaine ในปีค.ศ. 1152
และนั่นก็หมายความว่า ใครก็ตามที่มาแต่งงานกับเอเลเนอร์ ชายคนนั้นก็จะได้ครอบครองแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้เอเลนอร์ จึงกลายเป็นเจ้าหญิงซึ่งเป็นที่หมายปองจากกษัตริย์และขุนนางในยุโรปมากมาย
แต่จะมีใครที่จะมีอำนาจ บารมีและความเหมาะสมทางฐานะมากเท่ากับ กษัตริย์ของฝรั่งเศสไปได้
2. ราชินีในวัย 13 ปี
ในยุโรปยุคกลาง การแต่งงานเกือบทั้งหมดของกษัตริย์และขุนนางจะเป็นไปเพื่อการเมือง
คู่แต่งงานของคนระดับนี้ มีน้อยคู่ที่จะแต่งงานด้วยความรัก
1
แต่เชื่อกันว่า เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส หมั้นหมายให้เอเลนอร์ในวัย 13 ปี แต่งงานกับลูกชายวัย 17 ปี ซึ่งในเวลาต่อมาจะขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 นั้น ทั้งคู่มีใจให้กันในระดับหนึ่ง
พิธีอภิเษกสมรสระหว่าง เอลินอร์ และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7
เอเลนอร์ในวัยประมาณ 13 ปีจึงถูกส่งตัวไปที่พระราชวังของพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 เพื่อแต่งงานกับเจ้าชาย และรอที่จะขึ้นเป็นราชินีของฝรั่งเศส
แต่วันนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เพราะในวันแต่งงานของทั้งสองพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 ก็เสียชีวิตลง
เอเลนอร์ในวัย 13 ปีจึงขึ้นเป็นราชีนีคู่บารมีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ในทันที
3. แล้วความรักก็จืดจางลง
ในระยะแรกความรักของทั้งคู่ก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน
ความแตกต่างของทั้งคู่ ก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น
เอเลนอร์ เติบโตมาในฐานะของเจ้าหญิงแห่งแคว้นที่อยู่ทางใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งมีประเพณีและวัฒนธรรมต่างไปจากฝรั่งเศสที่อยู่ทางตอนเหนือของกษัตริย์ฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก
จะเข้าใจเอเลนอร์ ต้องไปเริ่มที่ปู่ของเธอกันครับ
คุณปู่ของเอเลนอร์ หรือ William ที่ 9 Duke of Aquitaine เป็นขุนนางที่ได้ชื่อว่า เป็น troubadour Duke
คำว่า ทรูบาดอร์ นี้ เป็นคำที่ใช้เรียกนักดนตรีหรือกวี ที่นิยมแต่งเพลงเยินยอผู้หญิง
เพลงหรือบทกวีทำนองนี้ ถ้ามองในมุมมองของปัจจุบันจะเรียกว่าเป็น meme หรือเป็นแฟชั่น ของแนวเพลงก็พอได้ คือ
จะเป็นเพลงที่พูดถึงความรัก ความชื่นชม ที่มีต่อผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง มีลักษณะเหมือนยกย่องผู้หญิงว่าสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง เป็นความรักที่เทิดทูน และไม่ค่อยมีความหมายทางเพศ คล้ายๆกับอัศวินแอบรักราชินีผู้สูงศักดิ์ อะไรทำนองนี้ครับ
ปู่ของเอเลนอร์ เป็นคนนึงที่ชอบแต่งเพลงทำนองนี้ และตัวของเขาเองก็เป็นชายเจ้าชู้ ที่แอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของขุนนางอื่นๆ หรือพูดง่ายๆว่ามีความเป็นเพลย์บอย เป็นอัศวิน เป็นนักรัก เป็นหนุ่มใหญ่เจ้าสำราญ อะไรทำนองนี้
1
มาถึงพ่อของเอเลนอร์ ก็ได้นิสัยแบบปู่มา เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงในแง่ของการเป็น ทรูบาดอร์เท่า
ดังนั้นเมื่อเอเลนอร์เติบโตมา เธอจึงเติบโตมาในพระราชวังที่มีวัฒนธรรมแบบติสท์กันหน่อยๆ ชอบบทเพลง ชอบบทกวีที่เกี่ยวกับความรักโรแมนติก มีเจ้าชาย อัศวิน เจ้าหญิง อะไรทำนองนี้ (แนวๆนี้จะเรียกว่า courtly love) และผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะพูด มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น และมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกทางความรัก
และไม่เพียงแต่ในพระราชวังเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แต่ดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสจะมีวัฒนธรรมแนวนี้เกือบทั้งหมด ซึ่งจะต่างไปจากวัฒนธรรมของฝรั่งเศสทางตอนเหนือ
คราวนี้มาดูทางฝั่งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 กันบ้าง ....
เดิมทีเดียวพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ไม่ได้ถูกวางตัวไว้ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะเขามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง
ในยุคสมัยนั้น เป็นที่นิยมจะส่งต่อบัลลังก์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับลูกชายคนโต (เรียกว่า primogeniture) เพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะแบ่งอำนาจให้กับลูกหลายๆคน ซึ่งจะมีผลให้อำนาจอ่อนแอลงหรือเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมืองจากพี่น้องรบกันเอง
ลูกคนรองๆจึงมักจะถูกวางตัวให้เข้าไปเอาดีในวงการศาสนา คือ ไปเป็นนักบวชระดับสูงๆทั้งหลาย
พระเจ้าหลุยส์ในวัยเด็กก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นน้องชาย จึงได้รับการดูแลอบรมมาเพื่อเตรียมตัวจะเป็นนักบวชอย่างเต็มที่ ทำให้เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็ยังมีบุคคลิกที่เป็นแบบนั้นอยู่ คือ เย็นชา เคร่งในกฎเกณฑ์ ไม่รักความสะดวกสบาย ไม่ชอบความหรูหรา ไม่ชอบดนตรี ศิลปะหรือบทกวีที่เกี่ยวกับความรัก
ดังนั้นทั้งพระราชาและพระราชินี ของฝรั่งเศสจึงมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
และความแตกต่างนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป
และนั่นจึงเป็นสัญญานแรกๆ ที่บ่งให้เห็นว่าการหย่าร้างอาจจะเกิดขึ้น
การหย่าร้างที่จะมีผลให้เกิดแรงกระเพื่อมไปในสังคมยุโรปมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับในตอนนี้ผมก็จะขอหยุดเรื่องไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ
ในตอนหน้าเราจะมาต่อกันเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 และพระราชินี เดินทางไปรบในสงครามครูเสดครั้งที่ 2 ครับ
โฆษณา