19 มิ.ย. 2020 เวลา 14:30 • การศึกษา
[สรุปหนังสือ📚] ผมได้อ่านหนังสือ Stats & Curiosities ของ Andrew O’Connell ที่รวมรวมสถิติที่น่าสนใจจาก Harvard Business Review เยอะมาก ๆ วันนี้ผมได้คัดเลือก “20 สถิติที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน” มาสรุปให้ทุกคนอ่านกันครับ #อาสาสรุป
“20 สถิติที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน”
1.”ความเจ็บปวด” ทำให้คุณทำตามใจตัวเองมากขึ้น
.
ทีมวิจัยได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองแบ่งกลุ่มโดยกลุ่มหนึ่งให้เอามือจุ่มน้ำเย็นจัด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ต้องจุ่ม พบว่าหลังนั้นผู้ที่เอามือจุ่มน้ำเย็นจัด มีโอกาสที่จะหยิบลูกอมที่แจกมากกว่าผู้ที่ไม่ได้จุ่มถึง 73% โดยคนเรามีความคิดที่ว่าเรามีสิทธิ “ทำตามใจตัวเอง” เป็นการชดเชยความเจ็บปวดที่ได้พบเจอ
.
.
.
1
2.”การมองสีเขียว” จะทำให้มี “ความคิดสร้างสรรค์” มากขึ้น 20%
.
การทดลองพบว่าคนที่ได้เห็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าสีเขียว ประมาณ 2 วินาที จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น 20% โดยทีมวิจัยได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าสีเขียวมีการเชื่อมโยงกับ “การเติบโต” ในหลาย ๆ วัฒนธรรม
.
.
.
3.“น้ำตาล” ทำให้เรามีความมุ่งมั่น และควบคุมตัวเองได้มากขึ้น 9%
.
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอเจียร์อธิบายว่า “น้ำตาล” จะกระตุ้นสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้รางวัล ทำให้มนุษย์มีความมุ่งมั่นมากขึ้น และควบคุมตัวเองได้มากขึ้นนั้นเอง
.
.
.
4.“การฝืนยิ้ม” ช่วยลดความเครียดได้!
.
คนเราจะได้รับประโยชน์ทางร่างกายและจิตใจถ้าสามารถยิ้มตอนรู้สึกเครียดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัสบอกว่า ผลจากการทดลองอาจจะยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง เนื่องจากทดลองจากสถานการณ์สมมุติ
.
.
.
5.การวางแผนว่า “จะปรับปรุงตัวเอง” อาจทำให้คุณทำตัวแย่ลง
.
จากการทดลองให้ผู้ร่วมการทดลองวางแผนการใช้เงินภาษีที่จะได้คืน พบว่าแทนที่จะเอาเงินไปลงทุนหรือออมไว้ พวกเขากลับใช้เงินมากขึ้นถึง 38% แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวกับไม่เกิดขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างที่มีเงินเก็บเยอะ นักวิจัยอธิบายว่ายิ่งคุณยังห่างไกลจากเป้าหมายมากเท่าไหร่ การวางแผนเพื่อไล่ตามเป้าหมายอาจจะทำให้คุณกดดันมากจนเกินไป และทำให้คุณควบคุมตนเองได้ยากขึ้น
.
.
.
1
6.“การทำงานที่บ้าน” ดีต่องานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ดีต่องานที่จำเจ
.
ถ้าเป็นงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์จะส่งผลทำให้ผลงานออกมาน้อยลง 6-10% แต่ถ้าเป็นงานที่มีความคิดสร้างสรรค์จะทำให้ผลงานออกมาได้ดีขึ้น 11-20% เลยทีเดียว
.
.
.
7.“การเดินทางไปกลับที่ทำงาน” ทำให้ผู้หญิงเครียดได้มากกว่าผู้ชาย
.
มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ พบว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะเครียดกับการเสียเวลาเดินทางไปกลับที่ทำงานมากกว่าผู้ชายโดยเฉพาะถ้าเธอต้องแวะทำธุระระหว่างทาง ยกเว้น “ผู้หญิงโสดและไม่มีลูก” จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเดินทางเลย
.
.
.
8.“การออกกำลังกาย” ทำให้ผู้หญิงได้รับเงินเดือนสูงขึ้น!
.
นักวิจัยจากมหาลัยคลีฟแลนด์สเตต พบว่า ผู้หญิงที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้รับเงินเดือนมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ออกกำลังกายประมาณ 12% แต่สำหรับผู้ชายจะอยู่ที่ประมาณ 7% ผลวิจัยสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ว่า “รูปลักษณ์ภายนอก” ส่งผลที่ดีต่อเงินเดือนของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
.
.
.
9.คนที่มี “การศึกษาสูงกว่า” จะพึงพอใจกับงานน้อยกว่า
.
จากการศึกษาคนทำงานกว่า 5,000 คนในประเทศสเปน พบว่าคนที่มีการศึกษาสูงและยังโสดจะพึงพอใจกับงานตัวเองน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น และยังพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีความพึงพอใจกับงานมากกว่าอาชีพอื่น ๆ อีกด้วย
.
.
.
10.บริษัทที่มี CEO “ใบหน้ากว้าง” จะมีผลประกอบการดีกว่า
.
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี ระบุว่า ยิ่งอัตราส่วนความกว้างต่อความยาวของใบหน้ามีค่ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งที่ให้รู้สึกถึงความดุดัน อำนาจ แล้วความไม่น่าไว้วางใจมากขึ้นเท่านั้น โดย CEO ผู้ชายที่มีใบหน้ากว้างจะมีอัตราผลตอบแทนของบริษัทสูงกว่า CEO ที่มีใบหน้าเรียว ประมาณ 15 ล้านดอลลาร์
.
.
.
1
11.เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มี “อายุน้อยกว่า” มักจะเรียนได้ดีกว่า
.
การศึกษาในประเทศอิตาลีได้นำผลการเรียนและอายุของนักศึกษามาเปรียบเทียบกันพบว่า ทุก ๆ ช่วงอายุที่ต่างกัน 11 เดือน นักเรียนที่มีอายุน้อยกว่าจะมีผลการเรียนดีกว่าประมาณ 2% โดยอธิบายว่าคนที่มีอายุน้อยกว่าจะทุ่มเทให้กับการเรียนมากกว่าการพบปะสังสรรค์
.
.
.
1
12.คนที่ “เชื่อเรื่องดวง” จะไม่ค่อยวางแผนสำหรับการเกษียณ
.
นักศึกษามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พบว่าหากต้องการกระตุ้นให้ผู้คนวางแผนการเงินสำหรับการเกษียณ รัฐบาลควรจูงใจให้คนเชื่อว่า เขาสามารถกำหนดชีวิตได้ด้วยตัวของเขาเอง ยิ่งคนเชื่อเรื่องดวงมากขึ้น คนเราจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษียณน้อยลง 6.7%
.
.
.
1
13.เงินเดือนพนักงานจะเพิ่มขึ้น เมื่อภรรยาของ CEO “คลอดลูกคนแรกเป็นผู้หญิง”
.
เป็นคือผลงานวิจัยของประเทศเดนมาร์กที่ลงใน The Wall Street Journal โดยเฉพาะพนักงานผู้หญิงจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1% ส่วนพนักงานผู้ชายจะได้เพิ่มขึ้นราว 0.6% ซึ่งมีความสอดคล้องกับงานวิจัยในอดีตที่ว่า “ผู้ชายจะใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นเมื่อมีลูกสาว” ในทางกลับกันถ้าได้ลูกชายพนักงานจะเงินเดือนน้อยลง 0.4%
.
.
.
1
14.“คนหัวอ่อน” โดยเฉพาะผู้ชาย จะมีรายได้น้อยกว่าปกติ 20%
.
ผู้ชายที่หัวอ่อน ว่างาย มักจะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าคนที่อยู่ในวงการเดียวกันประมาณ 20% การค้นพบสถิตินี้เกิดจากการศึกษาชาวอเมริกาหลายพันคน ซึ่งคนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก ส่วนผู้หญิงหัวอ่อนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ความรุนแรงน้อยกว่าผู้ชาย
.
.
.
15.“การขับรถน้อยลง” ช่วยบรรเทาปัญหาโรคอ้วนได้ !?
.
การทดลองพบว่าเมื่อผู้ขับขี่เดินทางด้วยรถยนต์เพิ่มขึ้น 1 ไมค์/วัน อัตราการเป็นโรคอ้วนในอีก 6 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น 2.2% นี่เป็นการศึกษาจากสถิติการใช้รถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กในอเมริกาในช่วงปี 1985-2007 ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์
.
.
.
16.เมื่อมีคนบอกว่า “จ่ายเท่าไหร่ก็ได้” คนส่วนมากจะยอมจ่ายมากขึ้น
.
ร้านอาหารในออสเตรียได้ตั้งราคาว่า “จ่ายเท่าไหร่ก็ได้” เป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่ามีคนเพียง 0.5% เท่านั้นที่ฉวยโอกาสกินฟรี ส่วนที่เหลือจ่ายเงินมากกว่าราคาที่ควรจะเป็น และสามารถดึงลูกค้าเข้าร้านให้เพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 50% นอกจากนี้ร้านยังได้ทำไรจากเครื่องดื่มที่กำหนดราคาไว้แล้วอีกต่างหาก
.
.
.
17.ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน จงบอกไปเลยว่า “เขาอยู่อันดับที่เท่าไหร่”
.
จากกรณีที่บริษัทแห่งหนึ่งในเยอรมนี บอกกับพนักงานตรง ๆ เลยว่าค่าจ้างและผลงานของพวกเขาอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ ผลปรากฎว่า ประสิทธิภาพการทำงานโดยเฉลี่ยของพนักงานเพิ่มขึ้นประมาณ 7% แถมยังไม่มีท่าทีจะลดลงในระยะยาวอีกด้วย ที่ดีไปมากกว่านั้นนี่คือวิธีเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลยสักบาท
.
.
.
1
18.การ “กินมื้อเที่ยงกับคนจำนวนมาก” จะทำให้คุณพัฒนาการทำงานได้ดีกว่า
.
สำนักข่าว CNN รายงานเรื่องนี้โดยอ้างอิงจากนักวิจัยชื่อเบน เวเบอร์ โดยพนักงานที่กินมื้อเที่ยงกับเพื่อนร่วมงานประมาณ 10-12 คน มักจะมีผลงานที่ดีกว่าคนที่กินข้าวกับเพื่อนร่วมงานเพียง 3-4 คน อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะว่าเมื่อได้อยู่กับคนกลุ่มใหญ่ ทำให้สามารถรู้เคล็ดลับการทำงานและขอคำแนะนำได้มากกว่านั้นเอง
.
.
.
19.การสูดกลิ่น “Peppermint” จะทำให้ความคิดเฉียบคมและฉับไวขึ้นประมาณ 15%
.
นักวิจัยจากมหาสวิทยาลัยวีลลิง เยซูอิต พบว่า กลิ่น Peppermint ช่วยให้ร่างกายคนเราตื่นตัวและจดจ่อได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อความจำ และการควมคุมอารมณ์อีกด้วย
.
.
.
1
20.การใช้สัญชาตญาณอย่างแรงกล้า ช่วยให้เรา “คาดเดาอนาคต” แม่นยำขึ้น
.
จากการทดลองจาก Columbia Business School พบว่า 41% ของคนที่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเองสามารถทำนายได้อย่างแม่นยำว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ส่วนคนที่ไม่เชื่อจะทายได้ถูกต้องเพียง 24% เท่านั้น นักวิจัยอธิบายว่า การเชื่อในสัญชาตญาณทำให้เราสามารถนำความรู้มาปะติดปะต่อกันได้ดี โดยที่เราไม่รู้ตัว
หลายคนน่าจะได้เห็นสถิติที่ไม่คาดคิดใช่ไหมครับ(ผมก็เหมือนกัน55) ใครมีสถิติที่แปลก ๆ อีกก็ Comment มาแบ่งปันกันได้ครับ
.
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงสถิติเท่านั้น และมันก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปก็ได้ ส่วนตัวอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง และพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ มากกว่า
.
ถ้าชอบสรุปความรู้ดี ๆ แบบนี้ก็ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้กับ "The Conclusion - อาสาสรุป" ด้วยนะครับ ถ้ามีคำแนะนำหรือติชมอะไรก็ Comment มาบอกกันได้ครับ แล้วพบกันกับสรุปความรู้ดี ๆ แบบนี้อีกอย่างแน่นอน^^
1
by krittamate
เข้ากลุ่มอาสาสรุป : http://bit.ly/TheConclusionGroup
.
สารบัญ อาสาสรุป : http://bit.ly/SarabunTheConclusion
.
The Conclusion Podcast 🎧
โฆษณา