24 มิ.ย. 2020 เวลา 14:28 • ประวัติศาสตร์
ลีลาการทูตของเติ้ง เสี่ยว ผิง
กับคณะรัฐบาลฝรั่งเศส ค.ศ.1975
วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.1975 เติ้ง เสี่ยว ผิง
รองนายกรัฐมนตรีจีนโดยสารเครื่องบินถึงกรุงปารีส เยือนฝรั่งเศสตามคำเชิญของรัฐบาลฝรั่งเศส
1
นายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
จัดพิธีต้อนรับ เติ้ง เสี่ยว ผิง อย่างสมเกียรติ
ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปารีส
เติ้ง เสี่ยว ผิง รองนายกรัฐมนตรีจีนพบกับนายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปารีส
นายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวคำปราศรัยที่ท่าอากาศยานว่า
"การมาเยือนของฯพณฯ เติ้ง เสี่ยว ผิง สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่สนิทแน่นแฟ้นระหว่างฝรั่งเศสกับจีน รวมถึงสร้างโอกาสความร่วมมือ
ในด้านต่างๆ ระหว่างสองประเทศให้มากขึ้น"
เติ้ง เสี่ยว ผิง รองนายกรัฐมนตรีจีนกับนายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสรูปนี้ถ่ายที่หน้าทำเนียบนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ที่มา : https://www.theguardian.com/world/gallery/2009/oct/30/france
นายเติ้ง เสี่ยวผิงตอบว่า
"ข้าพเจ้ารู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของรัฐบาลฝรั่งเศส ข้าพเจ้าเคยใช้ชีวิตในฝรั่งเศสตอนสมัยยังเป็นหนุ่ม ข้าพเจ้ามีความประทับใจประชาชนฝรั่งเศสที่มีไมตรีจิตมิตรภาพอันดีเป็นอย่างมาก
วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมเยียนผืนแผ่นดินแห่งนี้อีกครั้ง
นับตั้งแต่จีน- ฝรั่งเศสสถาปนาความสัมพันธ์
ทางการทูตเมื่อปี ค.ศ. 1964 เป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมาเยือนของข้าพเจ้าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์
จะกระชับมิตรสัมพันธ์จีน- ฝรั่งเศสให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า จากการพบปะเจรจากับผู้นำฝรั่งเศส จะเพิ่มความเข้าใจระหว่างกันให้มากขึ้นและขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของสองประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป"
การสถาปนาทางการทูตฝรั่งเศสกับจีนใน ค.ศ.1964
การที่เคยใช้ชีวิตในฝรั่งเศสและคำตอบที่เปี่ยมด้วยความเป็นมิตรของ เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้สร้างความเป็นกันเองกับประชาชนฝรั่งเศสขึ้นทันที
ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เติ้ง เสี่ยว ผิง เจรจากับ
นายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส การเจรจาเริ่มต้นจากประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยนายฌาคส์ ชีรัค กล่าวว่า
เติ้ง เสี่ยว ผิง เจรจากับ นายฌาคส์ ชีรัก นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
"ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างฝรั่งเศสกับจีนอย่างมาก เราเห็นว่า การพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการเมือง"
และเติ้ง เสี่ยว ผิง ตอบว่า
"ขณะนี้จีนยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา ต้องสั่งซื้อเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จำนวนมากจากประเทศพัฒนา แต่เรามีกำลังซื้อจำกัด นี่เป็นอุปสรรคประการหนึ่งในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่านี่เป็นเพียงปัญหาชั่วคราวเท่านั้น"
ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้จัดตั้ง
คณะกรรมการร่วมทางเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการชุดนี้จะสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี
ที่กรุงปักกิ่งและกรุงปารีส เพื่อพูดคุยในประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจะพบปะเจรจา
ในยามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าจำเป็น ทั้งสองฝ่ายยังได้บรรลุข้อตกลงด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายฉบับ
เติ้ง เสี่ยว ผิงได้พบปะเจรจากับ นายวาเลอรี่ จิสการ์ด เดสแต็ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่พระราชวังเอลีเซ่
ในบ่ายวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ 1975 เติ้ง เสี่ยว ผิงได้พบปะเจรจากับ นายวาเลอรี่ จิสการ์ด เดสแต็ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่พระราชวังเอลีเซ่
ประธานาธิบดีวาเลรี่ จิสการ์ด เดสแต็ง กล่าวกับ
เติ้ง เสี่ยว ผิงว่า
"รัฐบาลและประชาชนฝรั่งเศสรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง
ที่ท่านเดินทางมาเยือนประเทศเรา ท่านเป็นผู้นำจีน
ที่เคยใช้ชีวิตในฝรั่งเศส เข้าใจวิถีชีวิตและแนวคิดของชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี ทั้งนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจและภูมิใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
การรำลึกถึงช่วงที่ท่านใช้ชีวิตในฝรั่งเศส
จะสร้างความสุขให้กับท่าน"
เติ้ง เสี่ยว ผิงขณะเดินทางไปศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ของฝรั่่งเศส
การเจรจาของทั้งสองฝ่ายเน้นในประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ ขณะกล่าวถึงสถานการณ์โลก ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ประธานาธิบดีวาเลรี่ จิสการ์ด เดสแต็ง กล่าวว่า
"ขณะนี้สถานการณ์โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง กล่าวในภาพรวม สหรัฐฯมีความเข้มแข็งกว่าสหภาพโซเวียต ฝรั่งเศสไม่เข้าใจว่า ทำไมช่วงใกล้ๆ นี้ จีนย้ำหลายครั้งว่า มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการปะทะระหว่างประเทศมหาอำนาจ
เราอยากทราบว่า สาเหตุใดทำให้จีนเกิดความคิดเห็นเช่นนี้"
นายเติ้ง เสี่ยวผิงตอบว่า
"ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่า จีนเป็นประเทศที่นิยมทำสงคราม จึงเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามมาโดยตลอด แต่จริงๆแล้ว จีนเป็นประเทศที่รักสันติ และเป็นผู้ต้องรับความเสียหายจากสงครามรุกรานหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้ เราต้องการภาวะแวดล้อมที่สันติ เพื่อพัฒนาประเทศ กองทัพจีนจะไม่ไปรุกรานใคร ไม่จำเป็นต้องไปทำสงครามกับใคร สำหรับประเทศอื่น ข้าพเจ้าเห็นว่า ก็ต้องทำเช่นเดียวกับจีน คือไม่ส่งกองทัพไปทำสงครามกับประเทศอื่น"
นายเติ้ง เสี่ยวผิง ยังกล่าวเสริมอีกว่า
"ปัจจุบัน ประเทศมหาอำนาจสองประเทศ คือ
สหรัฐฯและสหภาพโซเวียต ชิงอำนาจครองความเป็นเจ้าโลกกัน ทำให้โลกไม่มีความสงบ จีนเห็นว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ ใช้ยุทธศาสตร์เชิงรับ ส่วนสหภาพโซวียตใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุก อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ สหภาพโซเวียตยังไม่มีความพร้อมในการทำสงคราม"
เติ้ง เสี่ยว ผิง รับประทานอาหารหลังจากสนทนากับประธานาธิบดีวาเลรี่ จิสการ์ด เดสแต็งเสร็จ พร้อมภริยาของเดสแต็ง
ขณะกล่าวถึงปัญหาในยุโรปและความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ ประธานาธิบดีวาเลรี่
จิสการ์ด เดสแต็ง กล่าวว่า
"ปัจจุบันยุโรปตกอยู่ในภาวะแตกแยก
ถ้าจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องให้ยุโรปบรรลุเป้าหมาย
ความเป็นเอกภาพทางการเมือง การป้องกันประเทศก่อน ฝรั่งเศสต้องการพัฒนาความสัมพันธ์
ฉันหุ้นส่วนที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันกับสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯถือตนเป็นประเทศมหาอำนาจ
มักจะยัดเยียดให้ประเทศยุโรป ซึ่งรวมทั้งฝรั่งเศสด้วยรับความคิดเห็นและข้อตกลงของเขา นี่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและประเทศยุโรปอื่นๆ กับสหรัฐฯ"
เติง เสี่ยว ผิง ทักทายกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่พระราชวังเอลิเช่
ด้านเติ้ง เสี่ยวผิงแสดงความเห็นว่า
"ยุโรปมีบทบาทด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ
การทหารที่มองข้ามไม่ได้ ประเทศยุโรปต้องมี
ความสามัคคีกันจึงจะมีบทบาทที่เด่นชัดขึ้น ยุโรปต้องการสหรัฐฯ สหรัฐฯก็ต้องการยุโรป ด้วยเหตุนี้ การสร้างความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ จะมีส่วนช่วยให้โลกนี้มีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของลีลาการทูตของเติ้ง เสี่ยว ผิงที่มีความประนีประนอมและเข้าใจคน จึงไม่แปลกใจที่ทำให้เขาได้เป็นผู้นำในใจคนจีนมาก
คนหนึ่ง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา