30 มิ.ย. 2020 เวลา 06:42
ฤา Facebook กำลังจะฆ่าตัวเอง หลังลูกค้าแบนลงโฆษณา
จากการละเลยแก้ไขปัญหา “โดนัลด์ ทรัมป์” Hate Speech
1
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook คือโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก และมีอิทธิพลต่อความเป็นไปของโลกใบนี้ในยุคปัจจุบัน เพราะผู้ใช้งานกว่า 2,600 ล้านบัญชีนั้นมันคือผู้คำจำนวนมหาศาลที่เป็นขุมทรัพย์ทางการค้าอย่างมหาศาลของระบบการตลาดของโลกที่แบรนด์ต่าง ๆ ก็เลือกใช้ช่องทางนี้เพื่อทำการตลาดและขายสินค้า
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ของ Facebook ได้สร้างความน่าปวดหัวให้กับผู้ใช้บริการรวมทั้งเหล่าบรรดาเอเจนซีที่ต้องการเผยแพร่โฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Facebook กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอน ซึ่งสร้างปัญหากับผู้ใช้งานที่หลายคนเจอกับโฆษณาที่ไม่พึงประสงค์ หรือเจอโพสต์เดิม ๆ บนหน้าฟีด การมองเห็นเพื่อนหรือเพจที่กดติดตามเอาไว้ลดลงหรือหายไป รวมทั้งการที่ผู้ผลิตคอนเทนต์จะต้องเสียเงินมากมายเพื่อให้คอนเทนต์นั้น ๆ ได้แสดงบนหน้าฟีด
หากในระดับผู้ใช้งานบุคคลที่ทำเพจขึ้นมานั้น ก็ไม่ใช่เรื่อง่ายอีกต่อไปที่จะทำให้มีผู้ติดตามเป็นหลักแสนหรือหลักล้านอย่างรวดเร็วแบบออร์แกนิคเหมือนเมื่อก่อน ทางเดียวที่จะทำให้ไปได้เร็วที่สุดคือการจ่ายเงินโปรโมทเพจให้กับ Facebook (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ทำมาตั้งแต่ต้น)
1
สิ่งเหล่านี้กำลังสร้างความเบื่อห่ายให้กับผู้ใช้บริการ และพยายามมองหาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้ แล้วเชิดใส่เดินหนีจาก Facebook ไปสิงสถิตที่โซเชียลมีเดียอื่น ๆ แทน เช่น Instagram Twitter หรือน้องใหม่มาแรงแห่งยุคนี้อย่าง Tiktok แทน
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ใช้งานที่เป็นระดับบุคคลเท่านั้นที่เริ่มปันใจออกห่างจาก Facebook เหล่าบรรดาองค์กรขนาดใหญ่ หรือผู้ผลิตสินค้าระดับโลกต่างก็เริ่มเบือนหน้าหนี Facebook แล้วเช่นกัน ซึ่งก็มีด้วยกันหลากหลายสาเหตุของการสะบั้นรักกับ Facebook ทั้งการเผยแพร่คอนเทนต์ทางการตลาดที่ต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในการบู้ตโพสต์ให้เกิดการมองเห็น ข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับการโพสต์ขายสินค้า ความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลไปอยู่ในมือของผู้ได้ประโยชน์ หรือแม้แต่นโยบายที่ไม่ชัดเจนในการต่อต้านการใช้คำพูดที่สร้างความแตกแยกในสังคมหรือ Hate Speech ที่กลายเป็นประเด็นล่าสุดที่ทำให้แบรนด์ระดับโลกหลายแห่งทำการบอยคอต Facebook
1
ประเด็นนี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่ Facebook ไม่สามารถแก้ปัญหาโพสต์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีผู้อื่น ด้วยเหตุทางเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เพศ และรสนิยมได้ ไม่มีการปิดกั้นหรือลบโพสต์ดังกล่าวออกไปทันทีหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งถือเป็นการสร้างความร้าวฉาน และรังเกียจกันในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ต้องบอกก่อนว่ารายได้ของการดำเนินธุรกิจของ Facebook นั้น 98% มาจากเม็ดเงินค่าโฆษณาที่เหล่าบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งรายใหญ่รายเล็กทุ่มเงินไปกับการโปรโมทผ่านแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งรายได้ของ Facebook นั้นถือว่ามากมายมหาศาลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในปี 2019 บริษัทมีรายได้ถึง 79,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 2.47 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 85% ของงบประมาณประเทศไทยที่ 3.2 ล้านล้านบาท แต่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 17 ล้านล้านบาท มากกว่า GDP ประเทศไทยทั้งประเทศที่ 16.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ Facebook เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และทำให้มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งมันเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 7 ของโลก
.
แต่จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้มีแบรนด์สินค้าต่าง ๆ กว่า 100 แห่งประกาศตัวชัดเจนว่าจะไม่ลงโฆษณากับ Facebook ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อย่าง Instagram และ Twitter อีกด้วย
ซึ่ง 10 อันดับ แบรนด์สินค้าระดับโลกที่จ่ายค่าโฆษณาให้กับ Facebook สูงที่สุดตามลำดับได้แก่
🔹 Wall Disney จ่ายมากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก 210.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Microsoft จ่าย 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 PepsiCo จ่าย 88.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 P&G จ่าย 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Unilever จ่าย 42.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Verizon จ่าย 22.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 REI จ่าย 22.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Coca-Cola จ่าย 22.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Patagonia จ่าย 6.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔹 Honda USA จ่าย 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
🔴 รวมมูลค่า 590.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 18,228.77 ล้านบาท
1
ซึ่งนี่เพียงแค่ 10 แบรนด์ที่จ่ายค่าโฆษณาสูงที่สุดให้กับ Facebook ซึ่งหาก 100 กว่าบริษัทไม่ซื้อโฆษณากับโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการรณรงค์ Stop Hate For Profit หยุดยั้ง การแสวงหากำไรจากความเกลียดชัง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นต้นไปนี้ จนกว่าทาง Facebook จะมีมาตรการเรื่องการแก้ไขปัญหารการสร้างความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มอย่างชัดเจน ซึ่งรวมไปถึงข้อความการแตกแยกทางการเมืองอีกด้วย ก็ลองคิดว่าจะกระทบกับรายได้ของ Facebook ขนาดไหน
มีการวิเคราะห์ด้วยว่าเหตุที่ Facebook ไม่ยอมระงับข้อความ Hate Speech ของทรัมป์ทันทีก็เพราะว่า ทรัมป์เองก็ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทเช่นกัน เพราะเมื่อปีที่แล้วโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จ่ายค่าโฆษณาให้กับ Facebook ไปถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1,235.20 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงบโฆษณาบน Facebook ของผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Unilever เลยทีเดียว นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Facebook ถึงไม่กล้าระงับข้อความของทรัมป์ที่เผยแพร่ออกมาผ่านเพจ
แม้ฝั่ง Facebook เหมือนว่าจะส่งสัญญาณว่าจะตั้งใจจัดการเรื่องนี้ภายใต้เงื่อนไขของตัวเอง โดย “แคโรลิน เอฟเวอร์สัน” รองประธานฝ่ายโซลูชั่นธุรกิจระดับโลกของ Facebook ออกหนังสือชี้แจงถึงแบรนด์ต่าง ๆ เมื่อวันศุกร์ว่า โดยทั่วไปแล้ว การบอยคอตไม่ใช่วิธีการสำหรับเราในการสร้างความก้าวหน้าไปด้วยกัน
ส่วน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เปิดเผยว่า Facebook จะเริ่มปรับปรุงนโยบายต่อต้านการโพสต์ข้อความที่สร้างความเกลียดชังและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้จะเริ่มติดแท็ก “Harmful” เตือนโพสต์ที่มีเนื้อหาอันตรายซึ่งก่อให้เกิดความโกรธแค้นในสังคม แม้ว่ามาร์คไม่ได้พูดถึงกระแสต่อต้าน Hate Speech โดยตรง แต่คาดว่าเพื่อเป็นการลดกระแสกดดันที่สปอนเซอร์รายใหญ่ถอนโฆษณา
ซึ่งความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลอย่างมากต่อมูลค่าตลาดของ Facebook เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของ Facebook ร่วงลงไปถึง 8.3% ผลจาการเทขายของนักลงทุนอย่างหนัก ทำให้มูลค่าตลาดหายไปถึง 56,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.72 ล้านล้านบาท และทำให้เงินหายไปจากกระเป๋าสตางค์ของมาร์คในวันเดียวถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 216,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
1
อย่างไรก็ตามแม้แคมเปญการบอยคอต Facebook นี้จะเป็นเพียงแค่การแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเผยแพร่ของมูลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่มันก็เป็นแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั่งโลกออนไลน์ได้เช่นกัน เพราะมันลามไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่โดนหางเลขไปด้วย รวมทั้ง Google ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการไม่ลงโฆษณาในสื่ออนไลน์ทุกรูปแบบของหลาย ๆ แบรนด์ และแม้ว่า Facebook จะถือมั่นว่าตัวเองคือโซเชียลมีเดียอันดับ 1 ของโลกในยุคนี้ที่มีผู้ใช้งานมาหาศาล และยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกออนไลน์ยากที่จะมีใครล้มได้ แต่ในโลกธุรกิจนั้นไม่มีอะไรอยู่ยั้งยืนยงตลอดไป เพราะเราต่างก็เห็นยักษ์ล้มกันมานักต่อนัก แม้จะเคยยืนหนึ่งในยุทธภพมาก่อนก็ตาม
ที่สำคัญอีกอย่างคือ ที่ไหนมีเรื่อง “การเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ความ “ฉิบหาย” มักมาเยือนที่นั่นเสมอ
เพราะฉะนั้นเพจผมจึงไม่อยากให้เอาการเมืองมาเกี่ยวเหมือนกัน เพราะใครเอาเข้ามาทีไรความ “ฉิบหาย” ก็มักมาเยือนทุกที
โฆษณา