1 ก.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #แมวเก้าชีวิตที่ชื่อมาติช ]
เป็นที่เข้าใจกันว่า เนมานย่า มาติช คือหนึ่งในแข้งคนโปรดของ โชเซ่ มูรินโญ่
เขาย้ายมาเชลซีครั้งแรกเมื่อฤดูร้อน 2009 หลังจาก คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ไม่นานเท่าไร
ค่าตัวเวลานั้น 1.5 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญายาว 4 ปีเต็ม แต่ในวัยเพียงแค่ 21 ปียังคงสถานะดาวรุ่งเท่านั้น จึงได้รับโอกาสอันน้อยนิด
อีกทั้ง อันเช่ ไม่ค่อยนิยมใช้บริการนักเตะสายเลือดใหม่เท่าไรนัก นอกจากนี้ มาติช ยังมีอาการบาดเจ็บติดตัวมาจากทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีอีกด้วย
กว่าจะมีชื่อในทีมครั้งแรกต้องรอถึงปลายเดือนกันยายนเกมลีกคัพกับควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส อย่างไรก็ตามเป็นได้แค่ตัวสำรองไม่ถูกใช้งานเท่านั้น
อีกราว 2 เดือนถัดมาเขาถูกส่งลงไปเล่นแทน ฟลอร็องด์ มาลูด้า ในเกมพรีเมียร์ลีกกับวูล์ฟแฮมป์ตันนาทีที่ 70 ซึ่้งตอนนั้นเชลซีนำห่างกระจุย 4-0 ไปแล้ว
สำหรับนักเตะมาจากเซอร์เบียแดนไกล มันช่างน่าตื่นเต้นที่ได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนี้ เป็นโมเมนต์อันล้ำค่าที่ไม่มีวันลืมลงได้
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงแค่ความภูมิใจสั้นๆ เพราะซัมเมอร์ปี 2010 มาติช โดนปล่อยให้วิเทสส์ทีมในเอเรดิวิซี่ลีกสูงสุดของฮอลแลนด์ยืมตัวชั่วคราว เข้าใจไม่ยากว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
โชคดีที่ มาติช ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง 29 เกมในทุกรายการ ก่อนทำไปได้ 2 ประตู ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับช่วงเวลาแค่ครึ่งฤดูกาล
แต่ก็นั่นแหล่ะเขาไม่ได้เป็นที่ต้องการของ อันเชล็อตติ อยู่ดี
มกราคม 2011 ในฐานะส่วนเกินและไม่อยู่ในแผนการสร้างทีมระยะยาว มาติช จึงโดนปล่อยให้เบนฟิก้า เป็นส่วนหนึ่งของดีล ดาวิด ลุยซ์ หรือพูดให้เข้าใจง่ายหน่อยคือตัวแถมดีๆนี่เอง
สองปีครึ่งที่เบนฟิก้า มาติช มีพัฒนาการอย่างดีเยี่ยม กลายเป็นคีย์แมนในแดนกลาง ด้วยสไตล์การเล่นที่ให้บอลง่าย เคลื่อนไหวตัวเองดี มักจะเติมขึ้นไปแนวรุกสร้างโอกาสและทำประตูได้บ่อยๆ
ไม่มีใครคาดคิดว่า มูรินโญ่ ที่หวนคืนสู่เก้าอี้ผู้จัดการทีมเชลซีอีกครั้งในฤดูร้อน 2013 กำลังจับตาอย่างใกล้ชิด
แล้วมกราคม 2014 เชลซีที่เคยตีค่า มาติช ไว้แค่ 2 ล้านปอนด์ ก็ต้องควักถึง 21 ล้านเพื่อดึงกลับคืนมา พร้อมทั้งยอมไฟเขียวสัญญาระยะยาว 5 ปีครึ่งด้วยกัน
ตอน มูรินโญ่ แจ้งความจำนงกับบอร์ดบริหารไปว่าต้องการ มาติช เกิดความไม่เข้าใจขึ้นมากมาย เพราะนี่คือนักเตะเก่าที่ปล่อยออกไป
แต่กุนซือโปรตุกีสย้ำว่ายังไงก็ต้องกระชากคืนมา แม้จะต้องจ่ายมากกว่าเดิมนับสิบเท่าก็ตาม
เขาให้นิยามเกี่ยวกับ มาติช ไว้ว่า "นี่คือนักเตะที่ฉลาดปราดเปรื่อง เล่นได้เกมรับและรุก"
โรมัน อบราโมวิช กังขาแต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ เพราะมีสัญญากันไว้จะตามใจทุกอย่างในเรื่องปรับกำลังพล
มาติช คัมแบ็กเดอะ บริดจ์ แต่คราวนี้ไม่ใช่ส่วนเกินอีกต่อไป
ตลอด 3 ปีครึ่งกับเชลซี มาติช พิสูจน์ให้เห็นเลยว่ามีความสำคัญมากแค่ไหน
เขาได้ลงรับใช้ทีมอย่างสม่ำเสมอ รวมทุกรายการถึง 151 นัด จนกระทั่งการมาถึงของ อันโตนิโอ คอนเต้ ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามอีกครั้ง
มาติช โดนจับนั่งสำรองบ้าง ไม่ได้ยึดตัวหลักผูกขาดเหมือนอย่างเคย เพราะตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางมีคู่แข่งมากมาย ไม่ง่ายที่จะยืนหยัดได้ระยะยาว
ดังนั้นข่าวโยงเรื่องย้ายทีมจึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งซัมเมอร์ปี 2017 โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เพิ่งคุมแมนฯยูไนเต็ดรีบต่อสายตรง อาศัยความสัมพันธ์แนบแน่นและคนคุ้นเคยร่วมงานชนิดรู้ใจกันมาก่อน เลยได้ปัดฝุ่นกันอีกรอบ
แม้ คอนเต้ จะไม่ได้ชื่นชอบ มาติช มากนัก แต่หงุดหงิดมากที่เชลซี ยอมปล่อยผู้เล่นให้คู่แข่งสำคัญ ปกติเรื่องอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครทำกันหรอก
แต่บอร์ดบริหารของเชลซี ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าค่าตัว 40 ล้านปอนด์สำหรับนักเตะที่วัย 29 ปี อีกทั้งผู้จัดการทีมก็ไม่ได้เรียกใช้บ่อยนัก หากจะขายจริงไม่น่าเสียหายอะไร
ยามโดนนักข่าวถามจี้ใจดำเรื่องนี้ คอนเต้ หัวเสียสุดขีด บอกให้ไปถามเจ้าของสโมสรเอาเองแล้วกัน ร้อนถึงความสัมพันธ์ของเขากับ อบราโมวิช พูดจาโผงผางอย่างนี้ มันดูไม่ค่อยให้เกียรติเบื้องบนเท่าไรนัก
สำหรับ มาติช ไม่ได้แคร์อะไรมากไปกว่าการได้กลับมาลุยกับเจ้านายที่รู้ใจ มันเหมือนนักรบที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพ ที่เชื่อมั่นว่ายังไงก็ต้องได้รับชัยชนะ
ด้วยความเป็นนักเตะดูแลร่างกายดีมากๆ มาติช จึงแทบไม่มีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บเลย บางครั้ง มูรินโญ่ เองนั่นแหล่ะที่ทะนุถนอมนักเตะกลัวจะกรอบเกินไป
แล้วเมื่อ มูรินโญ่ โดนปลดกลางอากาศในเดือนธันวาคม 2018 มาติช ก็เริ่มไม่แน่ใจในอนาคตของตัวเอง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว
แต่ในวัยที่เริ่มโรยลงทุกที มันเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับการพิสูจน์ตัวเองให้เจ้านายคนใหม่เห็นคุณค่า
หนักยิ่งกว่านั้นคือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้มารับหน้าที่แทน ไม่ค่อยชอบแข้งอายุมาก อยากได้ความสดใหม่จากกลุ่มผู้เล่นจากอะคาเดมี่มากกว่า ตอบสนองนโยบายใช้ยังบลัดเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
มาติช เลยแทบไม่ได้ลงเล่นในครึ่งฤดูกาลหลัง แล้วเมื่อฤดูร้อนมาถึงเขาจึงเป็นข่าวว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น อนาคตที่นี่เริ่มหรี่แสงลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อนักเตะที่ โซลชา ฝากความหวังไว้ ไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ มาติช จึงได้รับโอกาส
ประสบการณ์ ความเยือกเย็น ความเป็นมืออาชีพ ล้วนแต่เป็นคุณสมบัติสำคัญผลักดันให้ โซลชา เห็นคุณค่านักเตะรายนี้
สถานการณ์จึงพลิกอีกตลบ จากที่เคยมีแผนจะปล่อยออกไป สุดท้ายต้องยื่นสัญญาให้อีกปีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
เขาเอาชนะใจ โซลชา ได้สำเร็จไม่พอ ยังเป็นกองกลางที่เร้ด อาร์มี่เชื่อว่าฝากความหวังได้มากที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับ เฟร็ด , สก็อตต์ แมคโทมิเนย์ หรือ อันเดรียส เปเรยร่า โดยไม่ต้องนับ ปอล ป็อกบา ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่บนเตียงพยาบาล
มาติช ได้รับคำชื่นชมในแง่ทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งตอนลงเกมหรือช่วงซ้อม เขายังเป็นพวกพูดน้อยและโลว์โปรไฟล์ ไม่ชอบออกสื่อเท่าไรนัก มีโลกของตัวเองสูง
เจ้านายทุกคนอยากมีลูกน้องทัศนคติเช่นนี้ ทุ่มเทตามหน้าที่ ใช้ผลงานแทนฝีปาก
นอกจากนี้เขายังเคยเปิดใจว่า ไม่เคยสิ้นหวังเลย ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน อดทนเพื่อรอจังหวะของตัวเองไปเรื่อยๆ
"ผมก็เหมือนทหารนั่นแหล่ะ เจ้านายสั่งมาก็จะเคร่งครัดในหน้าที่ของตัวเอง จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น"
มาติช กล่าวไว้เช่นนี้ เขาไม่ได้บ้าสงคราม ตรงกันข้ามเคยมีประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กต้องหนีตายจากลูกระเบิดมาก่อน ในยุคที่ยูโกสลาเวียโดนปูพรมถล่มอย่างหนัก จากกองกำลังของนาโต
แต่เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเป็นอย่างไร ทหารจะมีวินัยและไม่ละเลยต่อคำสั่ง ยามต้องออกศึกจริงๆ
ขณะเดียวกันประสบการณ์ที่เคยถูกมองข้ามมาก่อนในช่วงที่อยู่กับเชลซีทั้งสองยุค มันคือภูมิต้านทานอย่างดี ทำให้แกร่งพร้อมจะรับมืออยู่เสมอ
ว่าไปแล้ว มาติช เปรียบเหมือนแมว 9 ชีวิตมากกว่า เพราะมีแนวโน้มว่าจะหมดสภาพไปต่อไม่ไหว แต่ยังลุกมายืนได้อย่างสง่างาม จนต้องยอมรับว่านี่คือของจริง ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวเสียเวลา
ปัจจุบันชัดเจนแล้วว่า โซลชา พอใจจะให้ยืนร่วมกับ ปอล ป็อกบา และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส มากที่สุดหากว่าทั้ง 3 คนสภาพร่างกายสมบูรณ์ไม่มีปัญหา
จากนักเตะที่เคยโดนเจ้านายมองข้ามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ มาติช ยังพาตัวเองกลับมาสู่เลเวลสูงๆได้เสมอ
ฝีเท้าไม่เก่งจริงและทัศนคติไม่ดีพอ รับรองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #สายลมแห่งโชคชะตา ] : เดอะ ค็อปรุ่นหลังอาจไม่ได้สัมผัส เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีมผู้พาครองแชมป์ลีกครั้งสุดท้าย ก่อนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะมาสานต่อโดยต้องรอนานถึง 30 ปี
คล็อปป์ เองก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว มีอินเนอร์ในฐานะกองเชียร์เช่นเดียวกัน เหมือนกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่เข้าใจแค่ว่าเป็นกัปตันทีมคนหนึ่ง กระทั่งได้เข้ามาอยู่ที่นี่ เพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นเขาจึงเข้าใจ
เนื้อแท้ในความเป็นลิเวอร์พูลอย่างดีและเข้าใจ 2 คนนี้เช่นกัน
[ #ฉลองต้องฉลาด ] : กลายเป็นดราม่าร้อนฉ่าขึ้นมาเมื่อกองเชียร์ลิเวอร์พูลออกมาฉลองกันอย่างหนัก หลังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 30 ปี จนเกิดความวุ่นวายเสียหาย บางครั้งเดอะ ค็อปไม่กี่คนที่
ทำให้เรื่องบานปลายและทำลายภาพลักษณ์ของส่วนรวม ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก หากยังไม่ให้ความร่วมมือกัน บางทีอาจไม่ได้ฉลองกันอีก
[ #จะเปลี่ยนตัวเองหรือเปลี่ยนทีม ] : หลายครั้งแล้วที่ มันเตโอ เกนดูซี่ ยังแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เหมาะสมทั้งในสนามจริงและสนามซ้อมเวลานี้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของเขา เรื่องฝีเท้าไม่มีใคร
กังขา แต่นิสัยส่วนตัวควรรีบปรับปรุงโดยด่วนถ้ายังเป็นเช่นเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในเร็ววัน
[ #ด่านหน้าที่ยากกว่าแชมป์ ] : ลิเวอร์พูลสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 30 ปีอย่างยิ่งใหญ่ ความสำเร็จครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้กับทุกฝ่ายที่ทำงานกันอย่างหนักอย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์
คือผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญ นำทัพฝ่าด่านหินมามากมาย ต้องโดนทดสอบสารพัดกว่าจะมายืนอย่างสง่างามได้ตรงจุดนี้แต่เมื่องานฉลองเสร็จสิ้น ภารกิจใหม่จะตามมาและการรักษาความสำเร็จไว้คืองานที่ยาก
สุดแล้ว
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
โฆษณา